"เอม"น้ำตาคลอเสียงสั่นเครือให้สัมภาษณ์สื่อ หลัง อสส.พลิกอุทธรณ์สั่งฟ้องคดี 112 เป็นเหตุการณ์กระทบจิตใจครอบครัว เผย"ทักษิณ"เสียใจและรู้สึกเจ็บช้ำ ส่วนหลังจากนี้เตรียมวางแผนสู้ชี้แจง ยอมรับครอบครัวไม่ได้รับความยุติธรรม ก็ต้องสู้ต่อ พร้อมห่วงความรู้สึกพ่อ อยู่ข้างในไม่มีใคร ด้าน"โอ๊ค"เผยเป็นเรื่องที่ทำให้จิตตกพอสมควร ขณะที่"ทนายวิญญัติ"ยืนยันเดินหน้าสู้คดี ชี้อำนาจของอัยการสูงสุดในประเทศนี้เห็นมาเยอะแล้วว่ามีอะไรพิสดารอยู่เรื่อย ทำให้นึกถึงคำว่าอภินิหารทางกฎหมาย
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ที่ เรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพ มหานคร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค บุตรชายคนโตของ นายทักษิณ ชินวัตร , น.ส.ณัฐฐิญา ปวงคำ หรือ ติ๊ก ภรรยาของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือ เอม บุตรสาวคนกลางของนายทักษิณ ได้เข้าเยี่ยมนายทักษิณในเรือนจำฯ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า นายอิทธิพร แก้วทิพย์ ได้ใช้อำนาจอัยการสูงสุด ให้สั่งฟ้องนายทักษิณ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เเละความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 2560 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อทีวีประเทศเกาหลีใต้ โดยมีเนื้อหากระทบสถาบัน ก่อนจะครบกรอบขยายเวลาอุทธรณ์ต่อศาลอาญาในวันที่ 21 พ.ย.68
โดย น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือ เอม บุตรสาวคนกลางของนายทักษิณ เปิดเผยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ว่า ภายหลังจากที่ได้เข้าเยี่ยมคุณพ่อด้านใน คุณพ่อดูเสียใจ และคุณพ่อก็เสียใจจริงๆ ท่านรู้สึกเจ็บช้ำ ส่วนหลังจากนี้คุณพ่อจะมีวิธีการเตรียมสู้หรือชี้แจงอย่างไรนั้น ก็คงจะต้องมีการวางแผน ซึ่งก็ต้องสู้ เพราะถ้าเรายังไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ต้องสู้ต่อค่ะ แต่ว่าในจุดนี้เราก็ห่วงเรื่องของความรู้สึกคุณพ่อ เนื่องด้วยท่านก็อยู่ข้างในนี้ ไม่ได้มีใครอยู่กับท่านเลยค่ะ (น้ำเสียงสั่นเครือ) ก็พวกเราได้แต่ส่งกำลังใจ และอันนี้มันก็เพิ่งวันนี้เอง เราก็ยังโชคดีที่ได้เข้ามาเยี่ยมคุณพ่อ
เมื่อถามว่า เรื่องวันนี้มันเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจของครอบครัวอย่างมากใช่หรือไม่ เพราะคุณทักษิณเองก็ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปแล้ว แต่อัยการสูงสุดกลับให้สั่งฟ้องนายทักษิณ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งปรากฏว่า น.ส.พินทองทา ได้ยิ้มเบาๆ รับฟังคำถามผู้สื่อข่าว ก่อนเม้มปากหลายครั้ง กระพริบตาถี่ มีน้ำตาคลอ ไม่ได้ตอบคำถาม จนนายพานทองแท้ ตอบผู้สื่อข่าวแทนว่า ก็เป็นเรื่องที่ทำให้จิตตกพอสมควร แต่ว่าเราก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กับครอบครัวเรา
ก่อนที่ น.ส.พินทองทา , นายพานทองแท้ และ น.ส.ณัฐฐิญา จะยกมือไหว้ขอบคุณสื่อมวลชน และยุติการให้สัมภาษณ์ ซึ่งระหว่างที่ทั้งหมดจะขึ้นรถยนต์ส่วนบุคคลเดินทางกลับนั้น ได้มี นางผุสดี กลิ่นทอง หรือ อาจารย์เป้า แดงสิงห์บุรี ได้เป็นตัวแทนมอบป้ายไวนิลรูปภาพของนายทักษิณ ซึ่งภายในมีไดอารี่หัวใจสีแดงหลายแผ่น พร้อมข้อความถ้อยคำร้อยเรียงความรัก ความศรัทธา กำลังใจของคนเสื้อแดงที่มีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้เป็นที่รัก มอบให้กับ น.ส.พินทองทา ได้เก็บเอาไว้ และกล่าวว่า "เราจะสู้ไปด้วยกัน เราจะสู้เพื่อท่าน" โดย น.ส.พินทองพา ได้ยิ้มรับไวนิล พร้อมยกมือไหว้กล่าวขอบคุณ
ด้าน ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ระบุว่า การเข้าเยี่ยมนายทักษิณในวันนี้ พบว่าท่านก็ได้กำลังใจดีๆ จากลูกๆ ของท่าน ซึ่งวันนี้ถือเป็นครั้งที่สอง ที่นายพานทองแท้ ได้เข้าเยี่ยมพร้อมกับภรรยา ซึ่งก็ยิ่งสร้างกำลังใจให้กับท่าน รวมถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อิ๊งค์ และ น.ส.พินทองทา ได้เข้าเยี่ยมคุณทักษิณอยู่เรื่อยๆ ก็เป็นกำลังใจที่ดีของท่าน พร้อมกับประชาชนที่ส่งกำลังใจให้ท่านตลอด ซึ่งท่านรับรู้ที่คนเสื้อแดงคอยจัดกิจกรรมด้านหน้าเรือนจำฯ ขอบคุณที่ยังนึกถึงท่าน และนึกถึงคุณูปการที่ท่านได้ทำเพื่อประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ท่านเจ็บปวดเสียใจที่กระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจผ่านกระบวนการยุติธรรมหรืออำนาจใดๆ ที่พยายามจะกลั่นแกล้งท่าน ตนขอใช้คำว่า ท่านเองก็ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านมีความเสียใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น
ทนายวิญญัติ เผยต่อว่า ส่วนกระบวนการต่อสู้หรือการยื่นอุทธรณ์หลังจากนี้นั้น ตนขอบอกว่าสู้แน่นอน เพราะท่านทักษิณเป็นนักสู้ และยิ่งท่านไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้เจตนาที่จะกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ท่านจะสู้ให้ถึงที่สุด เรื่องนี้ก็ขอให้สังเกตว่าอัยการสูงสุดที่มีความเห็นแย้งกับมติของคณะทำงานที่ท่านเองก็อ้างว่าไม่ใช่คณะทำงานที่มาดูแลหรือสั่งคดีนี้ หมายความว่า คณะทำงานที่เกิดขึ้นในสมัยอดีตอัยการสูงสุดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งตนได้ยินมาว่ามีมติ 7:2 หรือบ้างก็ 8:2 ที่มีความเห็นว่าไม่สมควรอุทธรณ์ แต่มตินั้นก็หายไป 1 มติ คือ เป็นประธานคณะทำงานหรือไม่ เพราะหลังจากนั้นก็มาดำรงตำแหน่งเป็นอัยการสูงสุดต่อหรือไม่ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เห็นว่าควรจะพลิกฝืนจากมติเดิมหรือไม่ ทั้งนี้ มติจะเป็นอย่างไรก็ถือเป็นมติองค์กรของพวกท่าน ซึ่งเป็นองค์กรอัยการ แต่ตนในฐานะทนายความ ทำคดี สู้คดีมาทุกคดี ไม่มีคดีใดง่าย และเราสู้สุดทุกคดี และเนื้อหาในคดีนี้เราก็ยืนยันมาตลอดว่าท่านไม่มีเจตนาที่จะกล่าวถึงเบื้องสูง และถ้อยคำที่ชัดเจนก็บอกมาตั้งแต่ชั้นอัยการที่มีความเห็นในชุดแรกๆ ว่าไม่เห็นสมควรอุทธรณ์ อีกทั้งศาลชั้นต้น (ศาลอาญารัชดาภิเษก) ก็ได้ยกฟ้อง มันก็ชัดเจนแล้วว่าไม่มีถ้อยคำใดที่จะกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
ทนายวิญญัติ เผยด้วยว่า ส่วนกระบวนการหลังจากนี้หากอัยการจะยื่นอุทธรณ์ก็คงต้องดำเนินการภายในวันที่ 21 พ.ย.68 ซึ่งถ้ามีการยื่นและส่งหมายมา เราก็มีหน้าที่ที่จะแก้อุทธรณ์ต่อไป ซึ่งกระบวนการแก้อุทธรณ์ก็ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการประชุมและยกร่างแก้อุทธรณ์ ซึ่งการใช้เวลาพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ก็คงใช้เวลาหลายเดือน อย่างไรก็ดี ในฐานะทนายความ ตนก็จะใช้สิทธิ์ในการไปยื่นขอข้อมูลและความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองคดีมาตรา 112 ซึ่งตนขอเลยว่าอย่ามาอ้างว่าเป็นความลับ หรืออ้างเปิดเผยไม่ได้ เพราะตนเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท่านกล้าตัดสินใจเหผ้นอุทธรณ์สั่งฟ้อง ก็ต้องกล้าเปิดเผยในส่วนของคณะทำงานที่มีความเห็นและวินิจฉัยไม่อุทธรณ์มติ 7:2 นี้ ตนจะไปคัดสำเนาเพื่อนำไปใช้ประกอบในการยื่นอุทธรณ์ แม้ใช้เป็นพยานหลักฐานในการประกอบในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ แต่ความเห็นที่เกิดขึ้น ตนก็อยากรู้ว่าที่อัยการสูงสุดท่านนี้มีความเห็นให้อุทธรณ์ ท่านมีความเห็นอย่างไร หรือจะบอกว่าความเห็นนั้นไม่ใช่ความเห็นที่ตนลงมติไว้ หรือตนไม่มีส่วนในความเห็นใดๆ แต่เมื่อเป็นอัยการสูงสุดแล้วจึงสามารถออกความเห็นตรงนี้ได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของท่าน เป็นสิทธิของท่านหรือไม่อย่างไร ตนก็แค่ตั้งข้อสังเกตตรงนี้ไว้ และอีกประการ คือ พยานของโจทก์ในคดีดังกล่าว ด้วยความที่ตนว่าความแต่ต้น และเห็นพยานหลักฐานทุกชิ้น แม้สมบูรณ์หรือไม่อย่างไร เราไม่พูดอยู่แล้ว แต่เราจะสู้ในชั้นอุทธรณ์ และตนเชื่อว่าศาลอุทธรณ์ หรือจะไปถึงศาลฎีกา จะพิจารณาพยานหลักฐานนี้อย่างละเอียด พยานหลักฐานมีเท่านี้ สำนวนมีเท่านี้ และพวกท่านหาพยานบุคคลมาที่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยถึงความเป็นกลางและอคติชัดเจนนี้จะไปต่ออย่างไร ตนอยากให้ประชาชนได้จับตาดูว่าความยุติธรรมหาได้จริงหรือไม่ ซึ่งท่านทักษิณก็บอกแล้วว่าท่านไม่ได้รับความยุติธรรม
สำหรับการอุทธรณ์สั่งฟ้องคดีมาตรา 112 ของอัยการสูงสุดมีผลต่อการพิจารณาพักการลงโทษของนายทักษิณ หรือไม่ ทนายวิญญัติ ระบุว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะการอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องของกระบวนการ แต่การพักโทษก็เป็นระยะเวลาที่มีตามกฎหมายที่ผู้ต้องขังทุกคนได้รับสิทธิเท่าเทียมเสมอภาคกันอยู่แล้ว เพราะเมื่อถึงเวลา 2 ใน 3 ของโทษที่ได้รับมา ก็จะมีการพิจารณาพักโทษอยู่แล้ว และด้วยท่านอายุ 70 ปี ถูกคุมขังมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง ก็ไม่น่ามีผลกระทบ ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นแผนสกัดไม่ให้คุณทักษิณ ได้ออกมาหรือไม่ เพราะคุณสมบัติของคุณทักษิณ เองก็มีอายุ 70 ปี และมีอาการเจ็บป่วย อาจเข้าโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษฯ แต่เมื่อมีคดีมาต่อเช่นนี้ อาจไม่ได้รับการพิจารณานั้น ตนมองว่า ข้อสังเกตของคุณชูวิทย์ก็เป็นข้อสังเกตหนึ่งที่ควรรับฟังในฐานะคนไทยที่เราฟังความเห็นของบุคคลต่างๆ อยู่แล้ว แต่ความเห็นของคุณชูวิทย์ ตนขออนุญาตไม่แสดงความเห็นใดๆ แต่ถ้าหากเป็นเช่นคุณชูวิทย์ตั้งข้อสังเกตจริง ก็ขอให้ประชาชนคิดตามว่าการใช้อำนาจและการแทรกแซงต่างๆ รวมถึงอาจแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในชั้นอัยการหรือไม่นั้น มีจริงหรือไม่ เพราะในอดีตที่ผ่านมาพวกเราก็เรียนรู้กันได้ แต่ในฐานะทนายความ ยืนยันว่าท่านทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้ ในอนาคตจะมีการพิจารณาร้องเอาผิดอัยการสูงสุดคนปัจจุบันในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่เราต้องดูในอนาคตว่าเป็นอย่างไร ร้องหรือไม่ร้องตนยังไม่ได้คิด ก็ต้องดูเนื้อหากันไป ท่านก็ใช้อำนาจของท่าน และอำนาจของอัยการสูงสุดในประเทศนี้ตนก็เห็นมาเยอะแล้วว่ามีอะไรพิสดารอยู่เรื่อยๆ ทำให้นึกถึงคำว่าอภินิหารทางกฎหมาย เพราะก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จะเกิดขึ้นในยุคนี้อีกครั้งก็ไม่รู้สึกแปลกใจแต่เสียใจ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี