วันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
แพ้คดี‘หุ้นชินคอร์ป’ต้องจ่ายภาษี1.76หมื่นล.
‘ทักษิณ’กระอัก!
‘ศาลฎีกา’ลงดาบพิพากษากลับ
สรรพากรมีอำนาจเรียกเก็บภาษี
หลังเคยแพ้ศาลชั้นต้น-อุทธรณ์
อสส.ยื่นอุทธรณ์‘แม้ว’คดีม.112
“ทักษิณ” อ่วมหนัก! ศาลฎีกาพิพากษากลับ ยกฟ้องคดีที่ “ทักษิณ” ฟ้องกรมสรรพากรกับพวกเรียกเก็บภาษี 1.76 หมื่นล้านขายหุ้นชินคอร์ป “ทักษิณ” จึงต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้าน ให้กรมสรรพากรหลังจากขายหุ้นชินฯ ด้าน “อัยการสูงสุด” สั่งยื่นอุทธรณ์คดี “ทักษิณ” หมิ่นเบื้องสูง คดีความผิด ม.112ก่อนเดดไลน์ 21 พ.ย.68 ด้าน ‘เอม’เสียงสั่นน้ำตาคลอ เรื่องนี้กระทบจิตใจครอบครัว เผยพ่อเสียใจและเจ็บช้ำ ด้าน‘ทนายวิญญัต’เตรียมวางแผนสู้ให้ถึงที่สุด เพราะ‘ทักษิณ’เป็นนักสู้และไม่ได้ทำอะไรผิด
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการพิจารณายื่นอุทธรณ์คดี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง กรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์ กับสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน และเป็นอำนาจของอัยการสูงสุด เนื่องจากเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ที่เดิมมีการยื่นขยายระยะเวลาต่อศาลอาญาครั้งที่ 2 จนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้นั้น
ล่าสุด มีรายงานว่า เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด(อสส.)ได้มีความความเห็น ว่าการกระทำนายทักษิณเป็นความผิดตามฟ้องเห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาต่อไป ซึ่งขั้นตอนต่อไปคำสั่งยื่นอุทธรณ์ของอัยการสูงสุด ซึ่งถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด จะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เจ้าของสำนวนเพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์พิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาต่อไป
ทั้งนี้ เดิมทีการพิจารณาอุทธรณ์สำนวนคดีนี้ เมื่อช่วงเดือน กันยายนที่ผ่านมา นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุด คนก่อน มีคำสั่งให้นำเรื่องการจะยื่นอุทธรณ์นี้เข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดี ตามมาตรา112 ของอัยการ ซึ่งขณะนั้นมีนายอิทธิพร อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นเป็นรองอัยการสูงสุดเป็นประธานคณะกรรมการ พิจารณา
ครั้งนั้นคณะกรรมการดังกล่าวได้ประชุมพิจารณา และมีมติ 8-2 เห็นควรไม่อุทธรณ์ และส่งให้นายไพรัช อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว แต่จนพ้นวาระตำแหน่งอัยการสูงสุด นายไพรัช ก็ไม่มีความเห็นว่าจะอุทธรณ์คดีนี้หรือไม่ จนนายอิทธิพร เข้ามารับตำแหน่งอัยการสูงสุดอำนาจการพิจารณายื่นอุทธรณ์คดีจึงเป็นหน้าที่ของนายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน สมัยนั่งประธานคณะกรรมการพิจารณาคดี มาตรา112 นายอิทธิพร ที่นั่งเป็นประธานคณะกรรมการก็ไม่ได้ลงมติในครั้งนั้น เนื่องจากเป็นมารยาทในฐานะประธานกรรมการ คำสั่งอุทธรณ์ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การกลับความเห็นของนายอิทธิพรแต่อย่างใด
สำหรับคณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 คือคณะกรรมการที่อัยการสูงสุดตั้งขึ้นมาพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั่วราชอาณาจักร ประกอบไปด้วย รอง อสส.ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาเป็นเลขานุการ โดยตำแหน่ง ส่วนคณะกรรมการ จะมาจากอัยการที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ,อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี และอธิบดีอัยการสำนักงานอาญาอื่นๆ เพราะถือว่าเป็นสำนักงานที่ต้องรับคดีประเภทนี้โดยตรง
นอกจากนี้ ยังมีอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนด้วย เนื่องจากบางคดีมีสำนวนที่เป็นคดีนอกราชอาณาจักร รวมถึงผู้ตรวจการอัยการบางคน และมีระดับรองอธิบดีอัยการบางสำนักงาน รวมกันกว่า 10 คน (จำนวนไม่แน่นอน) ขึ้นอยู่กับอัยการสูงสุดในขณะนั้นจะตั้งใครขึ้น เป็นกรรมการทำหน้าที่พิจารณาสำนวนคดี มาตรา112 จากทั่วประเทศ เรียกว่าคดี มาตรา112 จะสั่งฟ้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการชุดนี้
แต่สำหรับคดีนี้ซึ่งตามขั้นตอนคดีมาตรา 112 ของนายทักษิณเป็นคดีนอกราชอาณาจักรอำนาจพิจารณายื่นอุทธรณ์ เป็นของอัยการสูงสุด การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาคดี มาตรา112 จึงเป็นการกลั่นกรองความเห็นให้อัยการสูงสุด ไม่ใช่การสั่งคดีเหมือนในชั้นพิจารณาคดี มาตรา112 ทั่วไป
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ ที่ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องคดีนี้ เนื่องจากศาลให้เหตุผลว่า ผู้ที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอ ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจ และรัฐประหารโดยพาดพิงถึงนายสุเทพ กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น ไม่ได้พาดพิงหรือสื่อความหมายถึงสถาบันว่าอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร การสืบพยานหลักฐานโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิด จึงรับฟังไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
วันเดียวกัน เวลา 13.00 น.น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ บุตรสาวของนายทักษิณ พร้อมด้วย นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ พร้อมด้วย น.ส.ณัฐฐิญา ปวงคำ ภรรยา เดินทางเข้าเยี่ยม นายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม
ต่อมา เวลา 13.35 น. น.ส.พินทองทา พร้อมด้วยนายพานทองแท้ และน.ส.ณัฐฐิญาออกจากเรือนจำกลางคลองเปรม ภายหลังการเยี่ยมนายทักษิณเสร็จ
น.ส.พินทองทาให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า หลังจากที่ได้เข้าเยี่ยมคุณพ่อด้านใน คุณพ่อดูเสียใจ และคุณพ่อก็เสียใจจริงๆ ท่านรู้สึกเจ็บช้ำ ส่วนหลังจากนี้ จะมีวิธีการเตรียมสู้หรือชี้แจงอย่างไรนั้น ก็คงจะต้องมีการวางแผน ซึ่งก็ต้องสู้ เพราะถ้าเรายังไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ต้องสู้ต่อ แต่ว่าในจุดนี้เราก็ห่วงเรื่องของความรู้สึกคุณพ่อ เนื่องด้วยท่านก็อยู่ข้างในนี้ ไม่ได้มีใครอยู่กับท่านเลยค่ะ ก็พวกเราได้แต่ส่งกำลังใจ และอันนี้มันก็เพิ่งวันนี้เอง เราก็ยังโชคดีที่ได้เข้ามาเยี่ยมคุณพ่อ
เมื่อถามว่าเรื่องวันนี้มันเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจของครอบครัวอย่างมากใช่หรือไม่ เพราะนายทักษิณ เองก็ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปแล้ว แต่อัยการสูงสุดกลับให้สั่งฟ้องนายทักษิณ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งปรากฏว่า น.ส.พินทองทาได้ยิ้มเบาๆรับฟังคำถามผู้สื่อข่าว ก่อนเม้มปากหลายครั้ง กะพริบตาถี่ๆมีน้ำตาคลอ ไม่ได้ตอบคำถาม จนนายพานทองแท้ ตอบผู้สื่อข่าวแทนว่าก็เป็นเรื่องที่ทำให้จิตตกพอสมควร แต่ว่าเราก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กับครอบครัวเรา ก่อนที่ นายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา และ น.ส.ณัฐฐิญา ยกมือไหว้ขอบคุณสื่อมวลชน และยุติการให้สัมภาษณ์ ก่อนที่จะได้เข้าไปทักทายประชาชนที่เข้ามาให้กำลังใจ และ เดินทางกลับทันที
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ระบุว่า การเข้าเยี่ยมนายทักษิณในวันนี้ พบว่าท่านก็ได้กำลังใจดีๆ จากลูกๆ ของท่าน ซึ่งวันนี้ถือเป็นครั้งที่สองที่นายพานทองแท้ ได้เข้าเยี่ยมพร้อมกับภรรยา ซึ่งก็ยิ่งสร้างกำลังใจให้กับท่าน รวมถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร และ น.ส.พินทองทา ได้เข้าเยี่ยมคุณทักษิณอยู่เรื่อยๆ ก็เป็นกำลังใจที่ดีของท่าน พร้อมกับประชาชนที่ส่งกำลังใจให้ท่านตลอด ซึ่งท่านรับรู้ที่คนเสื้อแดงคอยจัดกิจกรรมด้านหน้าเรือนจำ ขอบคุณที่ยังนึกถึงท่าน และนึกถึงคุณูปการที่ท่านได้ทำเพื่อประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ท่านเจ็บปวดเสียใจ ที่กระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจผ่านกระบวนการยุติธรรมหรืออำนาจใดๆ ที่พยายามจะกลั่นแกล้งท่าน ตนขอใช้คำว่า ท่านเองก็ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านมีความเสียใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนกระบวนการต่อสู้หรือการยื่นอุทธรณ์หลังจากนี้ ทนายวิญญัติ เปิดเผยว่า สู้แน่นอน เพราะท่านทักษิณเป็นนักสู้ และยิ่งท่านไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้เจตนาที่จะกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ท่านจะสู้ให้ถึงที่สุด
ส่วนกระบวนการหลังจากนี้ หากอัยการจะยื่นอุทธรณ์ก็คงต้องดำเนินการภายในวันที่ 21 พ.ย. 68 ซึ่งถ้ามีการยื่นและส่งหมายมา เราก็มีหน้าที่ที่จะแก้อุทธรณ์ต่อไป ซึ่งกระบวนการแก้อุทธรณ์ก็ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการประชุมและยกร่างแก้อุทธรณ์ ซึ่งการใช้เวลาพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ก็คงใช้เวลาหลายเดือน อย่างไรก็ดี ในฐานะทนายความ ตนก็จะใช้สิทธิในการไปยื่นขอข้อมูลและความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองคดีมาตรา 112 ซึ่งตนขอเลยว่าอย่ามาอ้างว่าเป็นความลับ หรืออ้างเปิดเผยไม่ได้
สำหรับการอุทธรณ์สั่งฟ้องคดีมาตรา 112ของอัยการสูงสุด มีผลต่อการพิจารณาพักการลงโทษของนายทักษิณ หรือไม่ ทนายวิญญัติ ย้ำว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะการอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องของกระบวนการ แต่การพักโทษก็เป็นระยะเวลาที่มีตามกฎหมายที่ผู้ต้องขังทุกคนได้รับสิทธิเท่าเทียมเสมอภาคกันอยู่แล้ว เพราะเมื่อถึงเวลา 2 ใน 3 ของโทษที่ได้รับมา ก็จะมีการพิจารณาพักโทษอยู่แล้ว และด้วยท่านอายุ 70 ปี ถูกคุมขังมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง ก็ไม่น่ามีผลกระทบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี