วันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ศาลฎีการะบุชัดทักษิณเป็นตัวการให้ลูกถือหุ้นชินคอร์ปฯแทนกว่า3ล้านหุ้น ทั้งซื้อ-ขาย ชี้ขาดคุณธรรมทางภาษี ทำธุรกรรมเพื่อประโยชน์ อันมิชอบฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ทำให้รัฐสูญเสียรายได้มหาศาล
วันที่ 18 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงาน กรณีเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน2568 ศาลภาษีอากรกลาง ศูนย์ราชการฯ ถนน.แจ้งวัฒนะได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่นายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายรัฐมนตรี โดยนายสมบูรณ์ คุปติมนัส ผู้รับมอบอำนาจช่วง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร จำเลยที่1 กับพวกรวม 4 คน เรื่องภาษีอากรขอให้จำเลยทั้งสี่ปลดและยกเลิกหรือเพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ 1 ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) ไม่ระบุเลขที่ใบแจ้ง ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4เลขที่ สภ.3 (อธ.3)/309/2563 ลงวันที่ 25 เมษายน 2560 งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
จำเลยทั้งสี่ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
คดีนี้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสี่เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของโจทก์ (ภ.ง.ด.12) เลขที่ ภงด.12 - 30325250 – 25600328๒๕ - 001 - 00005 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขทีสภ.3 (อธ.3)/309/2563 ลงวันที่ 25 เมษายน 2560ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสี่ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษายืน ตามศาลชั้นต้น (ศาลภาษีอากรกลาง)ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
นายทักษิณ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาฯส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยแยกเป็นประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ศาลฎีกาต้องส่งคำร้องของโจทก์ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2551 เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฯ มิได้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ดังนั้น การที่โจทก์ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฯ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ในบทมาตราที่มีลักษณะเดียวกัน จึงเป็นการร้องขอในเรื่องลักษณะเดียวกันกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรจะส่งคำร้องของโจทก์ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ประเด็นที่ 2 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกำหนดเวลาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า นายพานทองแท้และน.ส.
พินทองทา ชินวัตรบุตรของนายทักษิณ โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการซื้อขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797
ดังนั้นเมื่อเจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อในใบหุ้นอันเป็นหนังสือสำคัญโดยไม่ทราบมาก่อนว่านายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาถือหุ้นแทนโจทก์ ประกอบกับภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่าโจทก์ยังคงถือไว้ซึ่งหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อที่ยอมให้นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาซึ่งเป็นตัวแทน แสดงออกหน้าเป็นตัวการซื้อขายหุ้น
มื่อคดีนี้โจทก์ได้กลับแสดงตนให้ปรากฏว่าตนเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงแล้ว นิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นดังกล่าวของนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาย่อมผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ออกหมายเรียกนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ยื่นรายการ จึงถือได้ว่า การออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกำหนดเวลาซึ่งย่อมมีผลผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโจทก์ได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียกโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18 อีก
ประเด็นที่ 3 โจทก์เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร และต้องรับผิดชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า เงินได้พึงประเมินตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดเท่านั้น แต่หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงินด้วย เมื่อนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) มาจากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท รวมกัน 329,200,000 หุ้น ในขณะที่ในวันดังกล่าวหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) มีราคาซื้อขายตามกระดานซื้อขายหุ้นรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นละ 49.25 บาท และในวันเดียวกันนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาขายหุ้นดังกล่าวให้แก่กลุ่มเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในราคาหุ้นละ 29.25 บาท เมื่อไม่มีเหตุผลอันใดที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด จะยอมขายหุ้นให้นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดถึง40เท่า
ดังนั้นพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นจากธุรกรรมการขายหุ้นดังกล่าวแล้ว จึงก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ในการออกหมายเรียกนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทามาไต่สวนและประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้น พฤติการณ์ของโจทก์ในฐานะตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อย่อมต้องผูกพันต่อการออกหมายเรียกและการออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิบังคับโจทก์ผู้เป็นตัวการให้รับผิดในหนี้ภาษีอากรที่นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาในฐานะตัวแทนทำขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 พยานหลักฐานจำเลยทั้งสี่มีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2549 จำนวน 15,883,900,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ถูกต้องครบถ้วนได้ การประเมินภาษีชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น
ประเด็นที่ 4 กรณีมีเหตุลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่าการที่โจทก์ให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน เป็นการกระทำที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกันเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรงกรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี