วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ต้องยอมรับสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทยที่ต้องเผชิญ สองแรงกระแทกทางการเมืองที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ในกรณีที่ อัยการสูงสุด ยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ต่อทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ ศาลฎีกา กลับคำพิพากษาให้นายทักษิณ ชินวัตร แพ้คดีเลี่ยงภาษีขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ พร้อมบังคับคดีให้ต้องชำระเงินรวม 1.76 หมื่นล้านบาท ให้กรมสรรพากร
ทั้งสองคดีไม่เพียงเป็นประเด็นทางกฎหมาย ที่สะเทือนเส้นทางส่วนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรี แต่ยังเขย่าสั่นสะเทือนส่งกระทบโดยตรงต่อสมการทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่ศึกเลือกตั้งครั้งใหม่
ขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีศาลฎีกากลับคำพิพากษาให้นายทักษิณ แพ้คดีเลี่ยงภาษีขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นฯว่า ไม่อยากให้นำมาเป็นประเด็นการเมือง ทางพรรคจะไม่ใช้ประเด็นดังกล่าวในมิตินั้น แต่ข้อสังเกตของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทยเป็นข้อสังเกตที่สังคมสงสัยได้ เพราะเหตุการณ์ประจวบเหมาะเกิดขึ้นในวันเดียวกัน และเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนทราบอยู่ว่ากำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง เป็นข้อสังเกตที่มีนัย ทางเราจะเฝ้าติดตามว่าข้อสังเกตจะนำไปสู่อะไร จะมีการตรวจสอบกระบวนการที่เกิดขึ้นหรือไม่
นายจุลพันธ์ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยมีความสนิทสนมกับนายทักษิณ เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเห็นใจและเข้าใจ เรารู้อยู่เต็มอกว่า กระบวนการเริ่มมาจากอะไร ซึ่งกระบวนการที่เกิดขึ้น ความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมต้องเกิดความกระจ่างชัดในที่สุด คนๆ หนึ่งต้องถูกปฏิบัติอย่างเสมอภาค คงต้องมีกระบวนการในการติดตามการทำงานและคดีความต่อไป
และเชื่อว่าทางนายทักษิณเองและครอบครัวมีกำลังใจดีเยี่ยม หากมีช่องทางทางกฎหมายที่สามารถดำเนินการได้นายทักษิณก็คงหาช่องทางทางกฎหมายต่อสู้ต่อไป
อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าว มองเป็น 4 มิติหลัก คือ1.ผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นขอ 2.ฐานเสียงเดิม ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของทักษิณกับกลยุทธ์พรรค 3.ความเสี่ยง“เลือดไหลออก”ของ ส.ส. 4.แนวโน้มภาพรวมว่าพรรคเพื่อไทยกำลังเดินเข้าสู่“จุดหมดพลัง”หรือยังสามารถกลับมาได้
การยื่นอุทธรณ์คดี112: สัญญาณความไม่แน่นอนที่ทำให้ฐานเสียงลังเล
การที่อัยการสูงสุด ยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ต่อทักษิณ แม้ยังไม่สิ้นสุดกระบวนการ แต่ก่อให้เกิดผลในมุมการเมืองทันที ได้แก่:
เพิ่มเงาความเสี่ยงเหนือผู้นำเชิงสัญลักษณ์ สำหรับฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ทักษิณไม่ใช่เพียงผู้ก่อตั้ง แต่เป็น“ผู้นำจิตวิญญาณ”ที่สำคัญ เมื่อคดีอาญา ยังคงเดินหน้า แรงศรัทธาของฐานเสียงรุ่นเก่า อาจยังอยู่ แต่ “แรงผลัก”จากฝ่ายตรงข้าม จะยิ่งเข้มข้น และ ทำให้กลุ่มกลาง หรือ คนรุ่นใหม่ลังเลมากขึ้น
ต่ออายุการโจมตีทางการเมืองจากพรรคคู่แข่ง
ฝั่งตรงข้ามอาจใช้คดีนี้เป็นประเด็นสร้างความกังขาต่อความเหมาะสมในการสนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการตั้งคำถามเรื่องจริยธรรม ความโปร่งใส หรือการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ
กระทบยุทธศาสตร์การสื่อสารของพรรค
เพราะทักษิณยังเป็นศูนย์รวมสัญลักษณ์ พรรคจึงไม่สามารถ “ตัดขาด” หรือ “ถอยห่าง” ได้ง่าย ทำให้ต้องระมัดระวังทุกคำตอบเกี่ยวกับคดีนี้ ซึ่งมักกลายเป็นภาระเชิงสื่อสารมากกว่าพลังบวก
คำพิพากษาภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ 1.76 หมื่นล้าน : จุดกระทบต่อภาพพรรคเพื่อไทยในเชิงเศรษฐกิจและธรรมาภิบาล
คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปฯถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับภาพจำของทักษิณเรื่องธุรกิจ–การเมือง
คำพิพากษายืนยันให้กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีทันทีจึงส่งผลดังนี้:
สิ่งแรกจะทำให้ภาพลักษณ์ด้านเศรษฐกิจของพรรคถูกตั้งคำถาม แม้พรรคเพื่อไทยจะมีภาพลักษณ์เด่นด้านเศรษฐกิจ แต่คดีภาษีครั้งนี้ อาจถูกนำไปผูกโยงว่า“อดีตผู้นำมีปัญหาการเสียภาษี”หรือ“ รวยแล้วยังโกง ”ทำให้เกิดความอ่อนไหวต่อกลุ่มผู้สนับสนุนที่ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล
สร้างบรรยากาศปะทะระหว่างฝ่ายยุติธรรมและผู้สนับสนุน ฐานเสียงบางส่วนอาจตีความว่าเป็น “แรงกดดันทางการเมืองต่อทักษิณ”ซึ่งอาจทำให้เกิดอารมณ์“ปกป้อง”ขึ้น แต่กลับกัน ก็อาจทำให้ชนชั้นกลาง–กลางบน ซึ่งมีท่าทีเอนเอียงจากเพื่อไทยอยู่แล้ว ยิ่งถอยห่างมากขึ้น
เพิ่มต้นทุนทางการเมืองให้รัฐบาล (ถ้า พท. เป็นแกนนำ) พรรคเพื่อไทยจะถูกตั้งคำถามว่า “จะวางตัวต่อคดีเหล่านี้อย่างไร” ในขณะที่ต้องรักษาภาพความเป็นรัฐบาลหรือพรรคหลักฝ่ายค้าน
ผลต่อการเลือกตั้ง: ความเสี่ยง“เลือดไหลออก”ของ ส.ส.และพลังสนับสนุน
โอกาสเกิดสภาวะ“เลือดไหลออก”เพิ่มขึ้น มีสัญญาณชัดเจนว่าส.ส.บางส่วนใน เพื่อไทย เริ่มมองหาความมั่นคงทางการเมืองใหม่ โดยเฉพาะ กลุ่มที่ไม่จงรักภักดีต่อทักษิณแบบเดิม
ปัจจัยที่ผลักให้ ส.ส.อาจย้ายขั้วได้แก่ ความไม่มั่นใจว่าพรรคจะชนะเลือกตั้งรอบหน้า ความกังวลว่าคดีทักษิณจะฉุดคะแนนเสียงรวม การแข่งขันจากพรรคเกิดใหม่เช่นพรรคภูมิใจไทย,พรรคประชาชน,พรรคทางเลือกใหม่ในภาคเหนือตอนบน การต่อรองของพรรครัฐบาลเดิม หรือ กลุ่มทุนท้องถิ่น
จากการประเมินเบื้องต้น มีโอกาสสูงที่จะเกิดการไหลออกบางส่วน โดยเฉพาะส.ส.เขตที่คะแนนชนะไม่มาก หรือกลุ่มที่ยึดฐานท้องถิ่นเป็นหลัก ไม่ใช่แบรนด์พรรค
อีกสิ่งสำคัญ คือ ปัจจัยแรงสนับสนุนต่อพรรค อาจไม่หายไปทันที แต่ “อ่อนแรง”ฐานเสียงเพื่อไทยยังมีความแข็งแกร่งในภาคเหนือ–อีสานตอนล่าง แต่ความนิยมเปลี่ยนรูปแบบ ฐานรุ่นเก่าเหนียวแน่นน้อยลง คนรุ่นใหม่เริ่มย้ายไปหาพรรคที่มีภาพลักษณ์ “สะอาด – ชัดเจน -ไม่ผูกโยงนักการเมืองรุ่นเก่า”
ผู้มีรายได้ปานกลางและเจ้าของธุรกิจ SMEs ไม่ได้เชื่อมโยงตัวตนกับทักษิณเหมือนในอดีต จึงเกิดภาวะที่ แรงสนับสนุนยังอยู่ แต่พลังไม่เพีบงพอขับเคลื่อนให้“กลับมายิ่งใหญ่”ดังเช่นในการเลือกตั้งปี 2548 หรือ 2554
‘เพื่อไทย’กำลังหมดพลังจริงหรือไม่ ?
คำว่า “หมดพลัง”อาจยังแรงเกินไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า: พรรคกำลังเผชิญภาวะ “พลังถดถอย”ระดับโครงสร้าง
ปัจจัย 4 หลักที่ทำให้พรรคฟื้นตัวยากขึ้น
1.แบรนด์พรรคผูกกับตัวบุคคล ทักษิณ และ ตระกูลชินวัตร มากเกินไป เมื่อเจ้าตัวมีคดีค้าง ความเสี่ยงจึงส่งตรงถึงพรรคโดยอัตโนมัติ
2.ขาดผู้นำรุ่นใหม่ที่มีอิทธิพลทางการเมืองระดับชาติ แม้มีความพยายามสร้างภาพใหม่ แต่ยังไม่มีคนที่สามารถขับเคลื่อนอารมณ์สังคมได้เหมือนอดีต
3.การเมืองไทยเปลี่ยนไปสู่“สังคมการเมืองแบบแตกตัว” คะแนนกระจายมากขึ้น ทำให้พรรคใหญ่ไม่สามารถกวาดที่นั่งแบบเดิม
4.ความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มการเมือง–ธุรกิจ–เครือข่ายท้องถิ่น ซึ่งทุกครั้งที่สถานการณ์ทักษิณสั่นคลอน ความขัดแย้งเหล่านี้จะถูกขยาย
ดังนั้น เหตุการณ์ของ ทักษิณ ในคดี ม.112 และ คดีภาษีชินคอร์ปฯ จึงเป็นตัวเร่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยก้าวเข้าสู่ “ช่วงขาลง” เร็วขึ้น มากกว่าจะเป็นจุดจบในทันที
สรุปภาพรวมแล้วผลครั้งนี้ ส่งกระทบอย่างแน่นอน แม้ไม่เท่ากันในทุกกลุ่ม สิ่งแรกก็คือมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์พรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจน ถัดมาฐานกลาง–กลางบนและคนรุ่นใหม่ อาจถอยห่างเพิ่ม อีกทั้งมีโอกาสสูงที่ส.ส.จะเลือดไหลออกเพิ่ม โดยเฉพาะเขตพื้นที่เสี่ยง และ สุดท้าย โอกาสกลับมา“ยิ่งใหญ่แบบเดิม”ยิ่งเป็นไปได้ยาก
จนกระทั่งสุดท้ายแล้ว หากพรรคยังไม่หมดพลัง แต่กำลังเข้าสู่“ยุคพลังตกต่ำ” ที่ต้องเปลี่ยน ผู้นำ–นโยบาย–กลยุทธ์ หากไม่รีเซ็ต อาจรักษาที่นั่งเดิมได้ยากในสนามเลือกตั้งหน้า
- ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี