ซื้อขายหุ้นขาดคุณธรรม/ฝ่าฝืนก.ม.ร้ายแรง  ‘ทักษิณ’ตัวการใหญ่  เปิดคำพิพากษาคดี‘ชินคอร์ป’

ซื้อขายหุ้นขาดคุณธรรม/ฝ่าฝืนก.ม.ร้ายแรง ‘ทักษิณ’ตัวการใหญ่ เปิดคำพิพากษาคดี‘ชินคอร์ป’

วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ซื้อขายหุ้นขาดคุณธรรม/ฝ่าฝืนก.ม.ร้ายแรง

‘ทักษิณ’ตัวการใหญ่

เปิดคำพิพากษาคดี‘ชินคอร์ป’

ให้ลูกถือหุ้นแทนกว่า3ล.หุ้น

‘คลัง-สรรพากร’ล่า1.76หมื่นล.

บังคับทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน

เปิดคำพิพากศาลฎีกา ระบุชัดเทวดาทักษิณเป็นตัวการให้ลูกถือหุ้นชินคอร์ปแทนกว่า 3 ล้านหุ้น ทั้งซื้อ-ขาย ชี้ขาดคุณธรรมทางภาษี ทำธุรกรรมเพื่อประโยชน์ อันมิชอบฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ทำให้รัฐสูญเสียรายได้มหาศาล ขณะที่คลัง-สรรพากร-กรมบังคับคดี ตั้งแท่นล่าขุมทรัพย์เทวดาตามคำพิพากษาคดีภาษี 1.76 หมื่นล้านตกเป็นของแผ่นดินภายใน 10 ปีแย้มตามไล่บี้ถึงต่างประเทศ ด้านยธ.ทบทวนกติกานำนักโทษไปรักษานอกเรือนจำฝ่ายเพื่อไทยโหยหวล นายใหญ่บักโกรกหนัก

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับในคดีภาษีหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งกรมสรรพากรต้องเรียกเก็บภาษีจำนวน 17,600 ล้านบาทว่า แนวทางการปฏิบัติของกระทรวงการคลังคือ จะมอบหมายให้อธิบดีกรมสรรพากรไปดูในรายละเอียดของคำพิพากษา ยืนยันว่ากรณีของนายทักษิณถือเป็นเคสปกติ เป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลที่ใช้เป็นแนวทางเดียวกันในทุกคดี


นายเอกนิติย้ำว่า กรมสรรพากรมีกรอบระเบียบและแนวปฏิบัติในการติดตามสืบทรัพย์ และเรียกให้นายทักษิณชำระอากรตามคำพิพากษาของศาลฎีกาเหมือนผู้มีเงินได้ทั่วไป ซึ่งทุกหน่วยงานในกระทรวงการคลังต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอย่างเคร่งครัด

เดินหน้าล่าขุมทรัพย์เทวดา

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่าในเรื่องดังกล่าว กรมสรรพากรจะมารายงานตน แต่อย่างไรก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน โดยให้อัยการสูงสุดจะมีการดำเนินการสืบทรัพย์ และเข้าสู่การดำเนินการของกรมบังคับคดี แล้วมาที่การดำเนินการของกรมสรรพากร พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมากรมสรรพากร มีแนวปฏิบัติอยู่แล้ว ในการฟ้องคดีในเรื่องเหล่านี้เป็นจำนวนมาก

ล่าขุมทรัพย์ในต่างประเทศ

เมื่อถามว่า วงเงินเยอะขนาดนี้จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาโดยเฉพาะหรือไม่ รวมถึงกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ นายลวรณ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนต้องรอให้กรมสรรพากรมารายงาน และเมื่อมีความชัดเจนก็จะมีการแถลงให้รับทราบ ถามต่อว่า หากทรัพย์สินยังอยู่ในต่างประเทศจะดำเนินการ สืบทรัพย์ ได้หรือไม่ นายลวรณ กล่าวว่า อัยการสูงสุดสามารถสืบทรัพย์ได้ ส่วนกรณีดังกล่าวจะเทียบเคียงกับการยึดทรัพย์ในโครงการจำนำข้าวได้หรือไม่ นายลวรณ กล่าวว่า กรณีจำนำข้าว โจทก์ไม่ใช่กรมสรรพากร แต่รอบนี้โจทก์ คือกรมสรรพากร ซึ่งอาจจะเป็นคนบริบทกัน

มีเวลาตามยึดทรัพย์นาน10ปี

นางเพ็ญรวี มาแสง รองอธิบดีกรมบังคับคดี โฆษกกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า ในขั้นตอนของกรมบังคับคดี ตอนนี้เรื่องยังไม่ถึง โดยจากคำพิพากษา เมื่อฝ่ายลูกหนี้ทราบคำพิพากษาแล้วก็ต้องติดต่อชำระหนี้ต่อกรมสรรพกร ภายในระยะที่กฎหมายกำหนด แต่หากลูกหนี้ไม่ชำระ ก็จะเข้าสู่การดำเนินการ โดยกรมสรรพกรมีขั้นตอนที่จะดำเนินการเองได้ ทั้งนี้ กรณีคดีแพ่งทั่วไป กรมบังคับคดี จะเข้าไปดำเนินการ เมื่อมีหมายบังคับคดี ซึ่งเป็นหลักการบังคับคดีตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาคดีทางแพ่ง โดยหลักการทั่วไป เจ้าหนี้ซึ่งก็คือกรมสรรพากรต้องเป็นผู้ร้องต่อศาลเพื่อให้มีหมายบังคับคดี โดยเจ้าหนี้ต้องดำเนินการสืบหาทรัพย์สิน แล้วแจ้งให้กรมบังคับคดีทำการยึดอายัดขายทอดตลาดตามขั้นตอน

เมื่อถามถึงกรณีทรัพย์ที่อยู่นอกประเทศ มีวิธีการดำเนินการอย่างไร นางเพ็ญรวี กล่าวว่า ตามกฎหมายไทยปัจจุบัน อำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดียังอยู่ในราชอาณาจักรเท่านั้น เพราะเป็นคดีแพ่ง ซึ่งต่างจากคดีอาญา โดยการบังคับคดีมีระยะเวลาดำเนินการภายใน 10 ปี นับจากวันที่ศาลพิพากษาถึงที่สุด

‘พท.’ชี้หาช่องทางสู้คดีต่อไป

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าไม่อยากให้นำเรื่องนายทักษิณ เป็นประเด็นการเมือง ทางพรรคจะไม่ใช้ประเด็นดังกล่าวในมิตินั้น แต่ข้อสังเกตของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย เป็นข้อสังเกตที่สังคมสงสัยได้เพราะเหตุการณ์ประจวบเหมาะเกิดขึ้นในวันเดียวกันและเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนทราบอยู่ว่ากำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง เป็นข้อสังเกตที่มีนัยยะ ทางเราจะเฝ้าติดตามว่าข้อสังเกตจะนำไปสู่อะไร จะมีการตรวจสอบกระบวนการที่เกิดขึ้นหรือไม่ ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยมีความสนิทสนมกับนายทักษิณ เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเห็นใจ และเข้าใจ เรารู้อยู่เต็มอกว่ากระบวนการเริ่มมาจากอะไร

ซึ่งกระบวนการที่เกิดขึ้น ความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมต้องเกิดความกระจ่างชัดในที่สุด คนๆ หนึ่งต้องถูกปฏิบัติอย่างเสมอภาค คงต้องมีกระบวนการในการติดตามการทำงานและคดีความต่อไป เชื่อว่าทางนายทักษิณเองและครอบครัวมีกำลังใจดีเยี่ยม หากมีช่องทางทางกฎหมายที่สามารถดำเนินการได้นายทักษิณก็คงหาช่องทางทางกฎหมายต่อสู้ต่อไป

‘ทนายทักษิณ’ ซัด ‘นี่แหละประเทศไทย’

ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า #นี่แหละประเทศไทย ด้วยระบบ “เสียงข้างน้อยเป็นใหญ่กว่าเสียงข้างมาก” 2+1=3 แต่เอาชนะมติ 7 หรือ 8เสียงได้ ไม่รู้สึกแปลกใจกับผลผลิตของระบบที่เกิดขึ้น แต่เสียใจและผิดหวังกับกระบวนการยุติธรรม เพราะสิ่งที่หวัง คือ ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ ซึ่งมันควรแยกกับเรื่องการเมืองและผลประโยชน์ ความเลวร้ายที่มีต่ออดีตนายกทักษิณและประเทศชาติ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เรียงกันจนเรารู้สึกได้ มันชัดเจนว่า“มีขบวนการเบื้องหลังความอัปยศอยู่จริง”

แฉ”แม้ว”ขาดคุณธรรมทางภาษี

ผู้สือข่าวรายงานว่าสำหรับรายละเอียดของคำพิพากษาศาลฎีกากรณี ให้เรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป ของนายทักษิณในช่วงท้ายๆ ระบุว่า

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยแยกเป็นประเด็น ดังนี้ ที่ 1 และ 2 สรุปว่าเรื่องดังกล่าวไม่ต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญนิจฉัย และเห็นว่าการปฎิบัติหน้าที่ของกรมสรรพากรชอบด้วยกฎหมายเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกำหนดเวลาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา ชินวัตรบุตรของนายทักษิณ โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการซื้อขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797

ออกหน้าเป็นตัวการซื้อขายหุ้น

ดังนั้นเมื่อเจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อในใบหุ้นอันเป็นหนังสือสำคัญโดยไม่ทราบมาก่อนว่านายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาถือหุ้นแทนโจทก์ ประกอบกับภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่าโจทก์ยังคงถือไว้ซึ่งหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อที่ยอมให้นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาซึ่งเป็นตัวแทน แสดงออกหน้าเป็นตัวการซื้อขายหุ้น

เมื่อคดีนี้โจทก์ได้กลับแสดงตนให้ปรากฏว่าตนเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงแล้ว นิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นดังกล่าวของนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาย่อมผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ออกหมายเรียกนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ยื่นรายการ จึงถือได้ว่า การออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกำหนดเวลาซึ่งย่อมมีผลผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโจทก์ได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียกโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18 อีก

ต้องรับผิดชอบภาษีเงินได้

ประเด็นที่ 3 โจทก์เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร และต้องรับผิดชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า เงินได้พึงประเมินตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดเท่านั้น แต่หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงินด้วย เมื่อนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) มาจากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท รวมกัน 329,200,000 หุ้น ในขณะที่ในวันดังกล่าวหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) มีราคาซื้อขายตามกระดานซื้อขายหุ้นรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นละ 49.25 บาท และในวันเดียวกันนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาขายหุ้นดังกล่าวให้แก่กลุ่มเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในราคาหุ้นละ 29.25 บาท เมื่อไม่มีเหตุผลอันใดที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด จะยอมขายหุ้นให้นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดถึง40เท่า

พ่อลูกซื้อขายหุ้นผูกพันกัน

ดังนั้นพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นจากธุรกรรมการขายหุ้นดังกล่าวแล้ว จึงก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ในการออกหมายเรียกนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทามาไต่สวนและประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้น พฤติการณ์ของโจทก์ในฐานะตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อย่อมต้องผูกพันต่อการออกหมายเรียกและการออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิบังคับโจทก์ผู้เป็นตัวการให้รับผิดในหนี้ภาษีอากรที่นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาในฐานะตัวแทนทำขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 พยานหลักฐานจำเลยทั้งสี่มีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2549 จำนวน 15,883,900,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ถูกต้องครบถ้วนได้ การประเมินภาษี

ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น

ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง

ประเด็นที่ 4 กรณีมีเหตุลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่าการที่โจทก์ให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน เป็นการกระทำที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกันเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง

กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

รมว.ยธ.สั่งทบทวนการพักโทษ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7พ.ย.พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม ได้ลงนามหนังสื ถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม เรื่องขอให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎ ระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ และแนวทาง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ การพิจารณาการพักการลงโทษ และการกำหนดอาณาเขตในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ ให้เป็นสถานที่คุมขัง ให้เป็นไปตามระเบียบที่ชอบด้วยกฎหมาย

การสั่งการดังกล่าวเนื่องมาจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ต้องขัง ซึ่งพบว่ากระบวนการพิจารณาและการตีความระเบียบ หลักเกณฑ์อาจก่อให้เกิดความไม่ชัดเจน ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของหน่วยงาน จึงต้องปรับปรุงใหม่ โดยเฉพาะสาเหตุจากกรณีนายทักษิณ ชินวัตร

ด้านานนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า กรณีอัยการสูงสุดอุทรณ์คดีม.112 ของนายทักษิณ นั้นไม่กระทบต่อการขอพักโทษ เพราะการขอพักโทษต้องเข้าเงื่อนไขรับโทษ 1 ใน 3 หรือ 6 เดือน ส่วนเรื่องการสืบทรัพย์ ยิดทรัพย์นายทักษิณ คดีภาษีขายหุ้นชินคอปร์ปนั้น เป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดี

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top