วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ภท.เปิด3แคนดิเดต
'อนุทิน-เอกนิติ-ศุภจี’ชิงนายกฯ
‘บวรศักดิ์’ซัด‘วันนอร์’ปมซักฟอก
“อนุทิน”เปิดตัว 3 แคนดิเดต นายกฯพรรคภูมิใจไทย มาครบ “อนุทิน-เอกนิติ-ศุภจี”ยังอุบ“วราวุธ-สนธยา”เข้าพรรค บอกรอลุ้น 23 พฤศจิกายนนี้ ด้านโฆษกรัฐบาลสวน“วันนอร์” ย้อนแย้ง ตีความคับแคบ หลังชี้ช่องฝ่ายค้านยื่นซักฟอก ปิดทางนายกฯยุบสภา ชี้ปธ. ต้องตรวจญัตติ แจ้งนายกฯ ทราบก่อน ถึงจะยุบไม่ได้ ขณะที่‘บวรศักดิ์’ซัด’วันนอร์’เป็นปธ.สภาหลายครั้ง ให้ตีความญัตติซักฟอกอย่างที่เคยทำมา ติงฝ่าย กม.แปลกๆบอกยกร่างม.151มากับมือ ยันแม้ฝ่ายค้านยื่น แต่ยังยุบได้ เหตุต้องอิงข้อบังคับ ตรวจสอบญัตติก่อน
เมื่อวันที่ 19พฤศจิกายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มี 3คน ประกอบด้วย ตนเอง, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกฯและรมว.คลังและนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ โดยทั้ง 3 รายชื่อ จะต้องถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งหากทันในวันอาทิตย์ที่ 23พฤศจิกายนนี้ จะเสนอทันที โดยจะพิจารณาจากกรอบระยะเวลาอีกครั้ง
บังคับ’ศุภจี’นั่งแคนดิเดตนายกฯ
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ทั้งสองคนเป็นคนที่ทำงานดี เข้าใจงาน ส่วนในมุมการเมืองมองว่าเป็นคนทำงาน ส่วนนางศุภจีนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไม่ได้ทาบทาม แต่บังคับให้มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นการหาแคนดิเดตให้ครบถ้วน 3 คน เนื่องจากแต่ก่อนพรรคภูมิใจไทยยังเป็นพรรคเล็ก จึงมีตนเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียว แต่ตอนนี้พรรคน่าจะดีขึ้น และใหญ่ขึ้น เราก็น่าจะมีคนช่วยทำงาน ตอนนี้พูดได้เต็มปากว่า นายเอกนิติและนางศุภจี จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยก็ได้ ซึ่งทั้งสองคนตนมองว่า เป็นคนทำงานและตอนที่เชิญมาร่วมงานทั้งสองคนก็อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่เวลาก็มีน้อย จากที่รัฐมนตรีหลายคนที่เข้ามาทำงาน ทั้งคนนอกและคนใน ต้องบอกว่า เก๋าเกม เมื่อเข้ามาก็สามารถทำงานได้เลย เป็นนักบริหารมืออาชีพและเมื่อได้รับการมอบหมายงานก็ทำงานอย่างเต็มที่ ทุกวันนี้แทบไม่ได้เจอหน้ารัฐมนตรีหลายคน มีเพียงแค่การยกหูโทรศัพท์หากันเท่านั้น หากมีปัญหาอะไร แม้อยู่ที่ไหนของมุมโลก ก็สามารถติดต่อหากันได้
ให้ทั้ง2คนลงสส.ปาร์ตี้ลิสต์ภท.
ส่วนจะพูดได้หรือไม่ว่า ขณะนี้พรรคภูมิใจไทย มีแคนดิเดตนายกฯ พลัส นายอนุทินหัวเราะพร้อมกล่าว เราได้คนที่เก่งๆ คนที่ดีมาทำงานให้บ้านเมือง เราก็สบาย ประเทศก็ดี ประชาชนก็ดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ได้คนที่เข้าใจคนที่มีประสบการณ์มากเข้ามาทำงาน แล้วเราจะไปมัวหวงอำนาจทำไมมากมาย ไม่ได้หรอก ส่วนจะนำทั้งสองคนมาเป็นสส.บัญชีรายชื่อของพรรคหรือไม่ กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ ตนเห็นจากการทำงานและความมุ่งมั่นตั้งใจ ที่ได้ทำออกมารวมถึงความคิด ความอ่าน และความรวดเร็วในการทำงาน ต่างคนต่างรักษาคำพูด หากส่งงานออกมาได้ดี ตนจะไม่แทรกแซง และให้อิสระในการทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งสนับสนุน และผลักดัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทำออกมาเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ไม่ได้หมายถึงแค่ 2 คนนี้ แต่หมายถึงรัฐมนตรีคนอื่นในรัฐบาลนี้
พยักหน้ารับ“ท็อป”รอดู23พ.ย.นี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคภูมิใจไทยในวันอาทิตย์ 23 พฤศจิกายนนี้จะมีข่าวดีที่นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา จะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีพยักหน้ารับ พร้อมตอบว่า“อืม”ขอให้รอดูวันอาทิตย์ ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า รวมถึง นายสนธยา คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีและบ้านใหญ่ชลบุรี จะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ขอให้รอดูวันอาทิตย์ หากพูดไปแล้วเขาไม่มาจะทำอย่างไร
แนะยื่นม.152พร้อมตอบฝ่ายค้าน
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงความพร้อมหากฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ว่า เรามี MOA กับพรรคประชาชน (ปชน.) ดังนั้น พรรคภูมิใจไทย (ภท.) กับพรรคประชาชน รักษาคำพูด และรักษาพันธะใน MOA อย่างเคร่งครัด ส่วนการยุบสภา ตนเคยพูดไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้นไม่เกินวันที่ 31 ม.ค.69 แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรอไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค.69 ถ้ามีเหตุที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะตนเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จะมาบอกว่าให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าลงคะแนนเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น ดังนั้น ตนจึงเป็นรัฐบาลแรกที่ประกาศเรื่องการยุบสภาให้ประชาชนทราบ อะไรที่ทำให้เราทำงานไม่ได้ก็ต้องคืนอำนาจให้พี่น้องประชาชน
“ยินดีพร้อมที่จะถูกอภิปราย แต่ถ้ากลัวว่าผมจะหนีก็ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 พวกผมพร้อมจะโต้ตอบอยู่แล้ว แต่ถ้ายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญ 151 ต่อให้โต้ตอบดีแค่ไหน เมื่อไหร่จะชนะ โหวตเมื่อไหร่ก็ไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าอยากให้รัฐบาลโต้ตอบ และชี้แจงอย่างชัดเจน ก็ให้ยื่น 152 แต่ถ้าโอเคไม่สนใจอะไรแล้ว เอาเสียงมากล้มเสียงน้อยก็ยื่น 151 ซึ่งรัฐบาลต้องดูตัวเองว่าจะยอมให้เสียงมากมาล้มเสียงน้อยหรือไม่ ไม่ได้เป็นการหนี ซึ่งผมยืนยันว่าไม่ได้หนีเลย เพราะถ้ายื่น 152 จะอยู่จนครบแล้วจะไปวันที่ 31 ม.ค.69 แต่ถ้ายื่น 151 ก็เป็นสิทธิ์ของผม” นายกฯ กล่าว
‘วันนอร์’ยืนยันรบ.ยับสภาไม่ได้
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกตสวนทางกับประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าแม้ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 นายกรัฐมนตรียังสามารถใช้อำนาจยุบสภาได้ ว่า นายบวรศักดิ์เป็นนักกฎหมาย ก็สามารถตีความไปตามความเข้าใจ แต่สภาฯ ได้ตีความตามรัฐธรรมนูญ โดยตนได้มอบหมายให้สำนักกฎหมายพิจารณาและหาข้อมติในประเด็นดังกล่าว ซึ่งฝ่ายกฎหมายได้ประชุมและลงมติร่วมกันว่า การยุบสภาจะกระทำได้โดยตลอดในฐานะที่เป็นรัฐบาล แต่จะกระทำไม่ได้เมื่อฝ่ายค้านจำนวน 1 ใน 5 ได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 หนึ่งวรรค เพราะรัฐธรรมนูญระบุว่า เมื่อมีการยื่นอภิปรายไว้วางใจ ตามเสียงฝ่ายค้านจำนวน 1 ใน 5 แล้ว รัฐบาลจะยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ ส่วนข้อโต้แย้งที่บอกว่าจะต้องรอให้ประธานบรรจุญัตติก่อนนั้น ถือเป็นกระบวนการทางธุรการ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้เปิดให้มีการตรวจสอบในกระบวนการก่อน แต่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า เมื่อยื่นญัตติแล้ว รัฐบาลจะไม่สามารถยุบสภาได้
“ญัตตินี้จะไม่ดำเนินการได้ เมื่อผู้ยื่นขอถอนญัตติออกไป หรือกรณีที่ชื่อไม่ครบ 1 ใน 5 ก็จะให้สมาชิกเติมชื่อเข้ามาภายใน 7 วัน แต่หากครบกำหนด 7 วันแล้ว ยังไม่เติมชื่อเข้ามา ประธานสภาฯ ก็ไม่บรรจุญัตติ แต่กรณีนี้ฝ่ายค้านยังสามารถยื่นญัตติเข้ามาใหม่ในภายหลังได้ ตรงนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 151 วรรคสอง ส่วนใครจะตีความอย่างไร ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
เชื่อฝ่ายกฎหมายสภาเป็นคนตีความ
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้กำหนดไว้เหมือนสมัยก่อน ที่แม้ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติแล้ว และพรุ่งนี้จะมีการอภิปรายฯ แต่ตอนเย็นรัฐบาลก็สามารถประกาศยุบสภาได้ หรือจะเปิดอภิปรายในเวลา 10 โมง แต่รัฐบาลประกาศยุบสภาตอน 8 โมงก็ทำได้ ส่วนกรณีโฆษกรัฐบาลชี้ว่าการตีความของประธานสภาฯ ไม่ตรงกับรัฐบาลของ น.ส.แพรทองธาร นั้น นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า การตีความอาจจะไม่ตรงกันได้ เช่นเดียวกับคำพิพากษาของศาลต่างๆ ขึ้นอยู่ว่าท้ายสุดจะไปสิ้นสุดที่ใด ซึ่งในส่วนสภาฯ ก็เป็นไปตามฝ่ายกฎหมายที่มีการตีความ ซึ่งเมื่อส่งให้ประธานสภาฯ พิจารณาและมีความเห็นตามคำเสนอของฝ่ายกฎหมาย ก็ถือว่าได้ข้อยุติ ยืนยันว่า ตนถือเอาตามรัฐธรรมนูญและผลของฝ่ายกฎหมาย
โฆษกรบ.สวน’วันนอร์’ยุบสภาได้
ด้าน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายวันมูหะมัด นอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทยราษฎร ให้ความเห็นว่า แค่ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯก็ยุบสภาฯไม่ได้ ว่า ตนมองว่า นายวันนอร์ ตีความในทางแคบเกินไป ไม่ได้ตีความจากข้อเท็จจริงที่ ใช้ปฏิบัติ เพราะเงื่อนไขหลังยื่นไปนายกฯจะยื่นยุบสภาฯไม่ได้ เว้นแต่มีการถอนญัตติ หรืออภิปรายแล้ว เสียงได้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง การที่ฝ่ายค้านมายื่น ไม่เพียงพอเป็นเหตุที่จะบอกว่า ฝ่ายบริหารจะยุบสภาฯไม่ได้ เพราะถึงเวลาแล้วประธานสภาฯต้องมีหน้าที่ตรวจญัตติ ให้ครบถ้วนก่อนและต้องแจ้งให้นายกฯทราบ ดังนั้นการที่จะยุบสภาฯไม่ได้ ก็ต่อเมื่อ 1.ประธานสภาฯตรวจยุติแล้ว บรรจุลงในระเบียบวาระและ แจ้งให้นายกฯทราบ เมื่อสองอย่างครบถ้วนแล้ว จึงจะมาบอกได้ว่า นายกฯไม่มีสิทธิ์ยุบสภาฯ
นายสิริพงศ์ ยังยกตัวอย่าง รัฐบาลที่แล้ว กรณีที่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ อดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งพาดพิงบุคคลภายนอก ถึงอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่พรรคฝ่ายค้านเป็นผู้ยื่น ซึ่งประธานก็ยังไม่รับบรรจุในทันทีทันใด และไปขอให้ฝ่ายค้านแก้ญัตติ ถ้าเราจำกันได้ ฝ่ายค้านก็ต้องมาแก้ญัตติกันหลายครั้ง ดังนั้น การกระทำของ นายวันนอร์ในอดีต จึงเป็นสิ่งยืนยัน ว่า ประธานสภาฯ ต้องตรวจญัตติก่อน และเงื่อนไขที่จะครบถ้วนว่า นายกฯไม่มีสิทธิ์ยื่นยุบสภาฯ คือต้องตรวจญัตติก่อน และแจ้งให้นายกฯทราบ ดังนั้นการที่พูดแบบนั้นออกมา เท่ากับว่าย้อนแย้งกับสิ่งที่ท่านเคยทำมาในอดีต ทั้งนี้ ที่ออกมาพูดไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลจะยุบสภาก่อนหรือไม่ แต่ไม่อยากให้ต้องมาพูดเรื่องเหล่านี้กลับไปกลับมา เพราะนายกฯพูดหลายรอบแล้วว่า ตามMOA
‘บวรศักดิ์’ตอก’วันนอร์’นายกฯยุบได้
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุหากฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา151 ทำให้นายกฯไม่สามารถใช้อำนาจยุบสภาได้ ว่า ความจริงประธานสภาฯก็เป็นคนเจนสภา ท่านไม่ได้เป็นประธานสภาฯครั้งแรก ท่านเป็นประธานสภาฯมาตั้งแต่ปี40และเป็นประธานสภาฯมาหลายครั้ง ครั้งหลังสุดที่มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มันมีปัญหาว่าญัตตินั้นไม่ถูกต้อง เพราะไปพูดถึงคนนอกคือ บิดาท่านนายกฯ ท่านก็ไม่ยอมรับญัตตินั้นและไม่บรรจุ ใช้เวลาอยู่หลายวันที่ฝ่ายค้านต้องไปแก้ นั่นคือ ทางปฏิบัติที่ทำกันมา เพราะข้อบังคับการประชุมสภาเขียนไว้ชัดในข้อ176ว่า เมื่อประธานสภาได้รับญัตติไม่ไว้วางใจแล้วให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่องให้ประธานสภาฯแจ้งให้ผู้เสนอญัตติทราบภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ และในวรรคสองบอกว่า เมื่อประธานสภาฯตรวจสอบความถูกต้องของญัตติแล้วให้บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องเร่งด่วนและแจ้งให้นายกฯทราบ แปลว่าต้องมีการตรวจสอบว่าญัตตินั้น ครบถ้วนถูกต้องสมบูรณหรือไม่ ทำกันอย่างนี้ มาจนถึงรัฐบาลที่แล้ว พอมาถึงรัฐบาลนี้บอกว่าไม่ได้ พอรับปั๊บ ฝ่ายค้านยื่นปั๊บ ยุบสภาไม่ได้เลย ด้วยความเคารพ ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะที่รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ชัด ในมาตรา 151 วรรคสอง ว่าเมื่อมีการเสนอญัตติตามวรรคหนึ่งแล้ว จะมีการยุบสภาไม่ได้ เว้นแต่มีการถอนญัตติ หรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งตามวรรคสี่
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ความจริงตนเป็นเขียนมาตรานี้เองในรัฐธรรมนูญปี 2540 ก่อนหน้านั้นตั้งแต่ปี 2475-2534 ไม่มีบทบัญญัติห้ามยุบสภาทั้งที่มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ขึ้นในปี2538 ซึ่งมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีทั้งคณะและมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 17ถึง18ธ.ค.38 เรื่อง สปก.4-01 เมื่ออภิปรายเสร็จสิ้นลง พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งประกาศงดออกเสียงในการลงมติ และรัฐมนตรีพรรคนั้นจะถอนตัวทั้งหมด เป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ยุบสภาผู้แทนราษฎรตอนเวลา 12.00 น. ของวันที่ 19 ธ.ค.38 1 ชั่วโมงครึ่งก่อนการลงมติในเวลา 13.30 น. เป็นเหตุให้สภาผู้แทนราษฎรในเวลานั้นไม่สามารถลงมติได้ ตนจึงเสนอให้บัญญัติไว้ในมาตรา 185 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญ 2540 ว่า “เมื่อได้มีการเสนอญัตติแล้ว จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้นแต่จะมีการถอนญัตติหรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงตามวรรคสาม” ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างอำนาจ
ขอให้ตีความอย่างที่เคยทำมาก่อน
“ผมเห็นว่าสิ่งที่ประธานสภาฯต้องทำต่อ จะมาเปลี่ยนการตีความบอกว่า ฝ่ายกฎหมายเสนอว่า ไม่ต้องดูญัตติสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ยื่นวันไหนก็เอาวันนั้น ยุบสภาไม่ได้ มันต้องเอาญัตติที่สมบูรณ์แล้วบรรจุเข้าระเบียบวาระแล้วและแจ้งให้นายกฯทราบ ไม่อย่างนั้นจะแจ้งให้นายกฯทราบได้อย่างไร แล้วอำนาจยุบสภามันจะหมดไปได้อย่างไรเพราะนายกฯยังไม่ได้รับแจ้ง ดังนั้นผมว่า ตีความตามที่เคยทำมาเถอะครับ เป็นการตีความตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับที่ชอบแล้ว แต่ฝ่ายกฎหมายที่มาเสนอต่อประธานสภาฯในคราวนี้ดูแปลกๆ ย้ำว่าตีความไปแบบที่เคยทำมาเถอะครับ”นายบวรศักดิ์ ระบุ
‘จรัญ’หนุนสูตร20หยิบ1กมธ.ร่างรธน.
ที่รัฐสภา นายจรัญ ภักดีธนากุล กรรมการกฤษฎีกา ในฐานะอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง แก้ไขรัฐธรรมนูญ ใครได้ประโยชน์ บนเวทีสัมมนาวิชาการ ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการวิชาการของวุฒิสภาร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า ตอนหนึ่งว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องหา ทรีวินโซลูชั่น ไม่ใช่แค่ วิน-วินสองด้านเท่านั้น เพราะงานใหญ่ระดับชาติ ต้องมีทริปเปิ้ลวิน วินแรก คือ เสียงข้างมาก เป็นแกนใหญ่ของความเห็นที่ลงตัวร่วมกันของคนส่วนใหญ่ส่วนฝ่ายข้างน้อย ที่เห็นแตกต่างหลากหลายต้องให้ความเคารพกับเสียงข้างมาก ขณะที่วินที่สอง คือ คนไทยฐานะเจ้าของประเทศ อำนาจอธิปไตยและมีส่วนร่วมสถาปนารัฐธรรมนูญไทย ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ตนจึงเห็นว่าฝ่ายข้างมากต้องไม่ทอดทิ้งความเห็นหลากหลายที่แตกต่าง ต้องหาที่อยู่ที่ยืน ที่เหมาะสมให้กับฝ่ายที่เห็นต่าง คือ ข้างน้อยเพื่อให้ได้รับชัยชนะที่เดินไปพร้อมกัน ไม่เป็นที่พอใจของ 100% ของสองฝ่าย แต่พอทนได้ พอรับได้ในช่วงระยะเวลาเฉพาะหน้า นอกจากนั้นต้องมีวินของปวงชนชาวไทยและประเทศไทย เพราะหากเสียงข้างมาก และเสียงข้างน้อยหาจุดร่วมกับสองฝ่ายได้ แต่หากเป็นภัย เป็นพิษต่อประเทศ ประชาชน หากประเทศย่อยยับอับพัง ฝ่ายข้างมากและข้างน้อยยจะอยู่สุขได้อย่างไร จึงคงต้องมีทริปเปิ้ลวินให้ได้
ชื่นชมคนคิดสูตรเพราะไม่มีในตำรา
นายจรัญ กล่าวถึงสูตรการเลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้สมาชิกรัฐสภารวมกลุ่ม จำนวน20 คน เลือกกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ 1คน ว่า ตนขอชื่นชมและคนที่ทำเก่งมาก เพราะไม่มีในตำราหรือในทฤษฎีฝรั่ง แต่ได้สังเคราะห์ออกมาอย่างถูกใจ ตนมั่นใจว่าฝ่ายข้างมาก เอาแบบนี้ ฝ่ายข้างน้อยที่ไม่มั่นใจ พอรับได้ เช่น พรรคที่ได้สส.100คนหยยิบได้ 5คน หากมี สส.200คน หยิบได้10คน สว.มี 200คน หยิบได้ 10คน ถือว่ามีส่วนร่วม ไม่ขัดแย้งอะไรในรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นในประเด็นความเสี่ยงต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ ตนยังมองไม่เห็นความเสี่ยง แต่หากให้ตนเลือก ขอเลือกวิธีแก้ไขรายประเด็น เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์ หรือสังเคราะห์ที่ทำให้เกิดดุลยภาพและการแก้ไขต้องเรียงลำดับความสำคัญ ซึ่งกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือพัฒนาการรัฐธรรมนูญจะยั่งยืนมั่นคง ต่อเมื่อใช้เวลาพอสมควร ในแต่ละประเด็นให้ประชาชนส่วนใหญ่ตกผลึกและพอรับได้ ที่ผ่านมาเคยศึกษาว่ามีประเด็นในรัฐธรรมนูญ จำนวน 27 ประเด็นที่ต้องพิจารณา ซึ่งต้องแก้ตามสถานการณ์บ้านเมือง
อย่าเซาะกร่อนบ่อนทำลายหมวด1-2
“ความเสี่ยงที่อาจมี คือ อย่าเผลอปล่อยให้ไปเซาะกร่อนบ่อนทำลายหมวด1และ2 เพราะหากแตะหมวด 1 หมวด2 รวมถึงมาตราที่เป็นรากฐานมาจากหมวด1หมวด2 มีปัญหา ไม่ใช่ปัญหากับคุณหรือผม แต่เป็นปัญหาของประเทศไทย ปวงชนชาวไทย รวมถึงไม่เปลี่ยนแปลงมาตรา 255 ซึ่งผมมองว่าหากไปยุ่งกับพระราชอำนาจเชื่อว่าจะเป็นปัญหา ส่วนม็อบจะจุดติดหรือไม่อย่าประมาท จะพัง จะเกิดขึ้นได้ ผมมองว่าต้องช่วยกันทั้งนี้รัฐธรรมนูญของประเทศไทยที่ผ่านมา ทุกฉบับเป็นรัฐธรรมนูญพระราชทาน ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่เกิดจากสัญญาประชาคม หรือมาจากความเห็นพ้องต้องกันของคนไทย รัฐธรรมนูญ2560 ออกแบบระบบตรวจสอบที่ดูเหมือนกลายเป็นผู้ปกครองประเทศ ผิดหลักระบบตรวจสอบ เป็นเหตุผลที่ฝ่ายทำรัฐธรรมนูญใหม่ ตนมองในแง่ดีต้องเรียกร้องทำกันใหม่ แต่ทำใหม่ขอเพียงว่า อย่าทิ้งประสิทธิภาพการป้องกันปราบปรามคนทุจริต โกงบ้าน โกงเมือง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ขอความกรุณารัฐสภาออกแบบให้มีจุดสมดุล เป็นทริปเปิลวินให้ประเทศ อย่าปล่อยปละละเลยให้เสียงข้างมากกินรวบ ขอให้แสดงออก อย่าก้าวร้าว ทำอย่างสร้างสรรค์ มีส่วนร่วมในฐานะเจ้าของอธิปไตย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี