วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 นายอัษฎางค์ ยมนาค หรือ เอ็ดดี้ นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
การเสด็จเยือนครั้งเดียว ที่ทำให้โลกต้อง “อ่านประเทศไทยใหม่” กับ 33 สถานการณ์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 เขย่า“ดุลอำนาจโลก”
(ถ้าไม่ได้อ่านแล้วจะเสียใจ ที่อดภาคภูมิใจไปพร้อมกัน )
ตอนที่ 2: เมื่อในหลวง–พระราชินี กลายเป็นตัวแปรทางยุทธศาสตร์ในสายตาทั้งจีนและสหรัฐฯ
#อัษฎางค์ยมนาค | #อ่านเกมอำนาจ | #เสด็จเยือนจีน |
1. ถ้า “ตอนที่ 1” คือการมองเกมจากสายตาคนไทย
“ตอนที่ 2” นี้ คือการลองขยับเก้าอี้ไปนั่งในมุม นักวิชาการจีน–อเมริกัน–ยุโรป
แล้วถามว่า:
เมื่อเขาเห็นในหลวงและพระราชินีเสด็จเยือนจีน
พร้อมประโยค “ไทย–จีน คือคนในครอบครัวเดียวกัน”
เขาเห็นอะไรที่คนไทยจำนวนมาก “ยังมองไม่ออก”
2. นักวิเคราะห์ต่างชาติไม่ได้โฟกัสแค่ “ความซาบซึ้ง”
แต่เขาเห็น “เครื่องมือจัดวางตำแหน่งประเทศไทยในระบบโลก” โดยมีพระมหากษัตริย์และพระราชินีไทยเป็นตัวแสดงหลักในเกมถ่วงดุลอำนาจ ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในยุคสงครามเย็นรอบใหม่
3. สถาบันคลังสมอง (Think Tank) หลายแห่งใช้คำเดียวกันกับที่นักรัฐศาสตร์ไทยจำนวนหนึ่งคิดอยู่ คือ ไทยกำลังใช้ กลยุทธ์ Hedging (การประกันความเสี่ยง) และ Bamboo Diplomacy (การทูตแบบไม้ไผ่) โอนเอนได้แต่ไม่หัก
เพียงแต่ครั้งนี้ “ไม้ไผ่ไทย” มีมงกุฎอยู่บนยอด
4. ประโยค “ไทย–จีน คือครอบครัวเดียวกัน”
ถูกนักวิชาการต่างชาติมองว่าเป็นการยกระดับจาก
“มหามิตร” กลายเป็น “พันธมิตรเชิงอารยธรรม”
และสิ่งที่ทำให้คำพูดนี้หนักแน่น คือ “ตัวบุคคลที่ยืนอยู่ตรงนั้น” นั่นคือพระมหากษัตริย์ไทย ไม่ใช่แค่นายกรัฐมนตรี
5. สำหรับปักกิ่ง การได้ต้อนรับ “พระราชวงศ์ที่เก่าแก่และมั่นคงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” คือการประกาศกับโลกว่า “จีนไม่ได้มีแค่เพื่อนที่เป็นรัฐบาล” แต่มี “ความไว้วางใจในระดับสถาบัน–ต่อ–สถาบัน” ซึ่งหายากกว่าการเซ็นสัญญาเศรษฐกิจหลายฉบับรวมกัน
6. ขณะที่สำหรับวอชิงตัน ภาพนี้คือ “สัญญาณเตือนแบบไม่ใช้คำพูด”ว่าไทยจะไม่ทนอยู่ในโครงสร้างความสัมพันธ์
ที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ–กำแพงภาษี–การกดดันเชิงการเมือง โดยปราศจากความเข้าใจบริบทของไทยและภูมิภาค
7. นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า
การเสด็จเยือนจีนครั้งนี้ เท่ากับไทยส่งข้อความว่า “เราไม่ปฏิเสธสหรัฐฯ แต่เราจะไม่ยอมอยู่ฝ่ายเดียวในโลกสองขั้ว” นี่คือแก่นของ สมดุลเชิงลึก (Deep Balancing) ที่ไทยกำลังเล่นอยู่
8. ผลลัพธ์คือ ประเทศไทยไม่ใช่ “รัฐลูกโซ่” ของมหาอำนาจ
แต่เป็น ประเทศขนาดกลางที่รักษาเอกราชทางยุทธศาสตร์ โดยใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็น “หมุดยึดจุดยืน” บนเวทีโลก
9. ในห้องประชุมของสถาบันคลังสมองระดับโลก
การเสด็จเยือนนี้ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในหมวด “ข่าวราชสำนัก”
แต่วางอยู่ในหมวด “Strategic Signalling” (การส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์) ว่าไทยกำลัง ขยับเข้าใกล้จีนมากขึ้นในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อชดเชย “ความไม่แน่นอน” จากสหรัฐฯ
10. สหรัฐฯ ยุค “America First” ทำให้พันธมิตรหลายประเทศ รวมทั้งไทย รู้สึกว่า พันธมิตรแบบเดิมอาจถูกเปลี่ยนเป็น “ดีลธุรกิจจบเป็นครั้ง ๆ” ไม่ใช่ความร่วมมือระยะยาวแบบเดิมอีกต่อไป ไทยจึงต้องสร้าง ทางหนีทีไล่ทางยุทธศาสตร์ ด้วยตัวเอง
11. จีนเห็นช่องว่างนี้อย่างชัดเจน และใช้การต้อนรับในหลวง–พระราชินีในระดับสูงสุด เป็นการสื่อสารว่า “ในขณะที่พันธมิตรเก่าของคุณทำตัวคาดเดายาก จีนพร้อมจะอยู่เคียงข้างในฐานะ ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ที่ไม่ทิ้งกันกลางทาง”
12. นักวิเคราะห์จีนจำนวนไม่น้อย เขียนตรงเลยว่า ไทยคือ “ประเทศตัวอย่างของการไม่เลือกข้าง” แต่เล่นเกม เชื่อมสองขั้วเข้าหาตัวเอง นี่คือแบบฝึกหัดขั้นสูงของประเทศขนาดกลาง ที่ต้องอยู่รอดในยุคมหาอำนาจปะทะกัน
13. ขณะเดียวกัน สื่อฝั่งตะวันตกใช้คำค่อนข้างแรง เช่น “เดินบนเส้นลวดทางการทูต” (Diplomatic Tightrope) เพราะเขาเห็นว่า ไทยกำลัง “เล่นกับไฟสองกอง” แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ “ไทยอยู่กับไฟลักษณะนี้มาหลายร้อยปีแล้ว” (ลองทบทวนทูตสมัยรัชกาลที่ 5)
14. มิติที่ต่างชาติจับตาอย่างมาก คือ เศรษฐกิจและซัพพลายเชน จีนไม่ใช่แค่พันธมิตรเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็น
– คู่ค้ารายใหญ่
– นักลงทุนรายสำคัญ
– แหล่งเทคโนโลยีและทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ตั้งแต่ BRI ไปจนถึง EV และแร่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมอนาคต
15. สถาบันคลังสมอง (Think Tank) หลายแห่งชี้ว่า
การเสด็จเยือนฯ ช่วย “ปูพรมแดงระดับสัญลักษณ์” ให้การลงทุนจีนในไทยมีความชอบธรรมในสายตาประชาชนจีนและชนชั้นนำทางการเมือง เพราะไม่ได้มองว่าเป็นแค่ “เงินลงทุน”
แต่เป็น “การผูกพันระดับอารยธรรม”
16. แต่ในเวลาเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์การเมืองเตือนว่า หากไทยผูกห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) กับจีนลึกเกินไป
ไทยอาจเผชิญ การพึ่งพิงเชิงโครงสร้าง (Structural Dependency) ทั้งในเทคโนโลยี การแปรรูป และตลาดส่งออก
“การพึ่งพิงเชิงโครงสร้าง (Structural Dependency)” หมายถึง การที่ระบบเศรษฐกิจของไทย ตั้งอยู่บนโครงสร้างที่จีนเป็นศูนย์กลาง จนถึงจุดที่ไทย “หลุดออกจากระบบเองไม่ได้” โดยไม่เจ็บตัวรุนแรง
มันไม่ใช่แค่การค้าขายธรรมดา แต่เป็นการที่ โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด ขึ้นกับจีน ตั้งแต่เทคโนโลยี แร่สำคัญ โรงงาน ผลิตภาพ จนถึงตลาดส่งออก
การวิเคราะห์ข้างต้นเป็นมุมมองของชาวตะวันตก ซึ่งผมเห็นต่างอย่างสิ้นเชิง
ผมเห็นว่า…ชาวตะวันตกจำนวนมากมองเหตุการณ์นี้ด้วย “สายตาตะวันตกเกินไป” จนพลาดสิ่งที่คนเอเชียเห็นเป็นปกติ
ในวัฒนธรรมการเมืองของตะวันตก
อำนาจ = “เกมผลรวมศูนย์” (Zero-sum)
ถ้าไทยใกล้จีน = แปลว่าไกลอเมริกา
ความสัมพันธ์ต้องเลือกฝั่ง
นี่เป็นตรรกะแบบสหรัฐฯ–ยุโรป 100%
แต่โลกตะวันออกไม่ได้คิดแบบนี้เลย
ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อาเซียน…
นานมาแล้วเรารู้ว่าประเทศอยู่รอดเพราะ “รักษาความกลมกลืน” ไม่ใช่ “แบ่งโลกเป็นสองสี”
ความสัมพันธ์แบบเอเชีย จึงคิดว่า การอยู่กับสหรัฐฯ ก็ได้
การสนิทกับจีนก็ได้ และสองเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องขัดกันเลย
ตะวันตกจะงงมากกับ “การทูตแบบไม้ไผ่” ของไทย
เพราะตะวันตกชอบระบบเส้นตรง:
แต่ไทย–จีน–อาเซียนคิดแบบ “สมดุลของธรรมชาติ”:
นี่คือกลยุทธ์การประกันความเสี่ยงและการทูตแบบไม้ไผ่
แบบเอเชียที่ตะวันตกตีความผิดประจำ
ในมุมจีนเองก็มองไม่เหมือนสหรัฐฯ
จีนเข้าใจวัฒนธรรมไทยว่าให้ความสำคัญกับพิธีการและความไว้วางใจระยะยาว การที่พระมหากษัตริย์เสด็จฯ คือการให้ “เกียรติระดับอารยธรรม” แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไทยยอมส่งตัวเองเข้าโครงสร้างอำนาจของจีนแบบเบ็ดเสร็จ
จีนรู้ดีว่าไทย “รักษาสมดุล”
ไม่ใช่ “เลือกฝั่ง”
นี่คือภาษาที่คนตะวันตกอ่านไม่ออก
เพราะเขามีประวัติศาสตร์จักรวรรดินิยมและสงครามเย็นเป็นพื้นฐาน แต่เอเชียมีประวัติศาสตร์การค้าทางทะเล การผูกไมตรีราชสำนัก และสันติวิธี
ชาวตะวันตกตีความแบบตะวันตก ตรงไปตรงมา แข็งเป็นเส้นตรง แต่เอเชียอ่านความสัมพันธ์แบบเครือญาติ ความไว้วางใจ ประวัติศาสตร์ และพิธีการ
ไทยกับจีนจึงเข้าใจกันผ่าน “ภาษาทางอารยธรรม”
ในขณะที่ตะวันตกพยายามวิเคราะห์ด้วย “ภาษาการเมืองแบบขาว–ดำ”
นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายครั้ง
การวิเคราะห์ของฝั่งตะวันตกจึง “พลาดประเด็นสำคัญ”
ที่อยู่ในวิธีคิดของเอเชียโดยธรรมชาติ
โลกใบเดียวกัน แต่เลนส์ที่ใช้มอง…คนละใบหมดเลย
17. โจทย์ของไทยจึงไม่ใช่ “จะเอาจีนหรือไม่เอาจีน”
แต่คือ “จะรับจีนแค่ไหน โดยที่ยังดึงตะวันตกเข้ามาร่วมโต๊ะได้” ซึ่งนี่เองที่ทำให้บทบาทของในหลวง–พระราชินีสำคัญขึ้นไปอีกระดับ
18. ในสายตานักลงทุนต่างชาติ ภาพพระมหากษัตริย์และพระราชินีไทยจับมือกับผู้นำจีนในพิธีการระดับสูงสุด คือสัญญาณว่า “ไทย–จีน จะไม่มีจบเร็ว ๆ เหมือนดีลธุรกิจทั่วไป” แต่มีความยาวแบบ “ระยะอารยธรรม”
19. หมายความว่าอะไร?
หมายความว่า เสถียรภาพเชิงภาพลักษณ์ ของไทยเพิ่มขึ้น นักลงทุนเห็นว่า ไทยไม่ใช่ประเทศที่ลอยไปตามลมการเมือง
แต่มี “แกนกลางที่มั่นคง” ซึ่งจีนให้เกียรติอย่างสูง
20. ในมิติความมั่นคง นักวิเคราะห์ด้านกลาโหมอ่านเกมนี้อีกแบบหนึ่ง เขาเห็นว่า ไทยกำลังสร้าง “ขาเสริม” ทางทหารกับจีน ในขณะที่ขาหลักยังเป็นความร่วมมือด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ เช่น การฝึก Cobra Gold และความร่วมมือด้านระบบอาวุธบางประเภท
21. การมีความสัมพันธ์กับกองทัพจีนมากขึ้น ทั้งด้านยุทโธปกรณ์ การศึกษา การฝึก ทำให้ไทยมีตัวเลือกมากขึ้น
หากสหรัฐฯ ใช้ประเด็นสิทธิมนุษยชนมาเป็นเงื่อนไขในการจำกัดการช่วยเหลือทางทหาร
22. ในมุมนี้ การเสด็จเยือนจีนของพระมหากษัตริย์ ช่วยให้การขยับเข้าใกล้จีนด้านความมั่นคง ‘ดูสมเหตุสมผลและไม่สร้างความตึงเครียดกับสหรัฐฯ’ เพราะเป็นการทำในนามของสถาบันที่ทุกฝ่ายให้เกียรติ ไม่ใช่การเมืองของรัฐบาลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
23. นักวิเคราะห์บางคนย้ำว่า พระมหากษัตริย์ทำหน้าที่เป็น “โล่ทางการเมืองนุ่ม ๆ” (Soft Shield) ที่ทำให้การขยับเข้าใกล้จีนในมิติความมั่นคงไม่ดูแข็งกร้าวในสายตาตะวันตก เพราะถูกห่อหุ้มด้วยพิธีการและภาษาแห่งไมตรีจิตระดับสูงสุด
24. หัวใจของทั้งหมดนี้ คือ การทูตผ่านสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ต่างประเทศมองเห็นชัดว่า เมื่อไทยส่ง “องค์พระประมุขและพระราชินี” ไปเจรจาในเชิงสัญลักษณ์ แปลว่าไทยกำลัง “ใช้ทุนทางสัญลักษณ์สูงสุดของตัวเอง” เพื่อสร้างแต้มต่อในการวางตำแหน่งประเทศ
25. ในมุมของจีน การต้อนรับพระมหากษัตริย์ไทย คือการได้พันธมิตรที่มีฐานความชอบธรรมมาจาก “ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม” ไม่ใช่แค่รัฐบาลที่เปลี่ยนไปตามการเลือกตั้ง
จึงช่วยเสริมภาพว่าจีนไม่ได้คบแค่รัฐบาล แต่คบ “สถาบัน”
26. ในมุมของสหรัฐฯ การที่ไทยใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแกนนำการทูตกับจีน ทำให้วอชิงตันต้องระวังมากขึ้น จะกดดันไทยแบบเดิมก็ไม่ได้ง่าย เพราะการกดดันที่กระทบสถาบัน อาจย้อนมาทำลายภาพของสหรัฐฯ เองในสายตาคนไทยและคนในภูมิภาค
27. นักวิเคราะห์ยุโรปบางคนเขียนชัดว่า “ไทยไม่ได้แค่ กลยุทธ์การประกันความเสี่ยงระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แต่ไทยกำลังใช้กลยุทธ์การประกันความเสี่ยง โดยใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็น ‘แกนหมุนของดุลอำนาจ’”
28. เมื่อมองรวมทุกมิติ การเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง ภาพลักษณ์ การเสด็จเยือนจีนครั้งนี้จึงไม่ใช่ “งานต่างประเทศตามพระราชกรณียกิจ” แต่คือ การประกาศว่า ไทยจะเล่นบทตัวเองในภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ใช่ยอมให้ใครเขียนบทให้แล้วค่อยเดินตาม
29. โลกภายนอกไม่ได้มองไทยเป็นแค่ “ประเทศท่องเที่ยว–โลจิสติกส์–ฐานการผลิต” แต่เริ่มมองว่า ไทยคือ โหนดยุทธศาสตร์ ที่เชื่อมเศรษฐกิจจีน–ตะวันตก การเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการแข่งขันทางเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21
30. และในภาพใหญ่นี้ พระมหากษัตริย์และพระราชินีของไทย
ไม่ได้อยู่ “เหนือการเมือง” ในความหมายว่า ไม่เกี่ยวกับโลกภายนอก แต่ทรงทำหน้าที่ “เหนือเกมการเมืองแบบสั้น ๆ” เพื่อวางจุดยืนยาว ๆ ของประเทศไทยในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงเร็วที่สุดในรอบหลายสิบปี
31. กลุ่มที่บอกว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีบทบาทในโลกสมัยใหม่” อาจกำลังอ่านเกมจากแค่การเมืองภายใน โดยไม่เห็นว่าบนเวทีนานาชาติ มหาอำนาจสองขั้ว กำลังใช้สายตาของตนเอง “ประเมินประเทศไทยผ่านสถาบันพระมหากษัตริย์” อย่างใกล้ชิด
32. หาก “ตอนที่ 1” ทำให้เราเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์คือ “ทุนทางสัญลักษณ์” และ “สินทรัพย์ทางการเมือง” ของไทย
“ตอนที่ 2” นี้คือการยืนยันจากโลกภายนอกว่า ทุนและสินทรัพย์นี้…กำลังถูกนับรวมเข้าไปใน “สมการดุลอำนาจโลก” จริง ๆ
33. การเสด็จเยือนครั้งเดียว อาจกินเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ในสมุดบันทึกภูมิรัฐศาสตร์โลก นี่คือ “หมากตัวหนึ่ง” ที่ทำให้จีน–สหรัฐฯ–อาเซียน ต้องหันมานั่งเขียนสมการใหม่ว่า
ถ้ามีประเทศไทยอยู่ในสมการ แล้วมี “พระราชทูตสองพระองค์” เป็นตัวกลาง โลกหลังจากนี้…จะจัดวางไทยไว้ตรงไหนบนกระดานอำนาจ