​'สว.สำรอง'ร้อง'เลขาฯวุฒิ' ทบทวนปม'2 กกต.ใหม่' ยังไม่ถูกโปรดเกล้าฯแต่โหวตเลือก ปธ.แล้ว

​'สว.สำรอง'ร้อง'เลขาฯวุฒิ' ทบทวนปม'2 กกต.ใหม่' ยังไม่ถูกโปรดเกล้าฯแต่โหวตเลือก ปธ.แล้ว

วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 11.19 น.

"สว.สำรอง"ร้อง"เลขาฯวุฒิ" ทบทวนปม"2 กกต.ใหม่"ยังไม่ถูกโปรดเกล้าฯแต่โหวตเลือก ปธ.แล้ว ขณะ"หมอเปรม"หวั่นเร่งรัดเปลี่ยนชุดทํางานกลางคัน อาจหวังเพื่อเป่าคดี ลําเอียงทางการเมืองในตอนเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ที่รัฐสภา กลุ่ม สว.สำรอง เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงเลขาธิการวุฒิสภา เพื่อขอให้ทบทวนการเลือกประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนใหม่ เนื่องจาก 2 กกต.ใหม่นั้น ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จึงอาจไม่เป็นธรรม และยื่นหนังสือต่อ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว.ในกรณีดังกล่าวด้วย


โดย นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ตามที่กรรมการการเลือกตั้ง ทั้งที่ดํารงตําแหน่งอยู่ และที่ได้รับมติจากวุฒิสภา แต่ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ได้มีการประชุมกันเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา และมีการลงมติเลือกประธานกรรมการการเลือกตั้งคนใหม่ ซึ่งมีเสียงสนับสนุนณรงค์ กลั่นวารินทร์ 4 ต่อ 3 และเป็นเหตุให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่า มติดังกล่าวเป็นมติที่ชอบธรรมหรือไม่

เนื่องจากกรรมการการเลือกตั้ง 2 คน ที่ผ่านการลงมติโดย สว.เสียงข้างมากนั้น ยังไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดํารงตําแหน่งอย่างสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อมีการเลือกประธานกรรมการการเลือกตั้งคนใหม่ จึงเกิดคําถามอย่างมากมาย ดังนั้น วันนี้ กลุ่ม สว.สํารอง เห็นว่า เป็นประเด็นที่ควรจะต้องมีการพิจารณาถึงเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง จึงได้นําเรื่องนี้มายื่นเพื่อตรวจสอบกับเลขาธิการวุฒิสภา 

นพ.เปรมศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า น่าสงสัยว่าเหตุใดจึงมีการเรียกประชุมกรรมการการเลือกตั้งในวันดังกล่าว เมื่อสืบค้นแล้วปรากฏว่า มีหนังสือของเลขาธิการวุฒิสภาไปถึงเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องของให้เลือกประธานกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 7 พ.ย. สรุปความได้ว่า เนื่องจากวุฒิสภาได้มีการลงมติเลือกกรรมการการเลือกตั้ง 2 ท่าน ที่ผ่านมติไปแล้ว ก่อนปิดสมัยประชุม เพื่อแทนที่ตำแหน่งที่ว่าง แต่อย่างไรก็ตาม 2 ท่านที่เลือกไปนั้น ยังไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ จึงเป็นที่น่าสงสัยอีกว่า ทําไมจึงต้องเร่งรัดเร่งรีบที่จะให้เลือกประธานกรรมการการเลือกตั้งคนใหม่ โดยนัยที่ไม่สมบูรณ์ทางกฎหมายเช่นนี้ 

เรื่องราวทั้งหมด จึงถูกมองว่า หรือมีภารกิจเร่งรีบเรื่องใดที่จําเป็นต้องอาศัยเสียงของประธานและกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ เพราะพบอีกว่า มี 2 เรื่องคือ เรื่องคดีฮั้ว สว.ซึ่งจะมีการพิจารณาถึงวันที่ 15 ธ.ค.ที่กรรมการการเลือกตั้งชุดเก่า จะยังมีอํานาจพิจารณาอยู่ตามเวลาคดี ทำให้การเปลี่ยนก่อนวันดังกล่าวจะเป็นเหตุผลให้พลิกคดีได้หรือไม่ เนื่องจากจากสํานวนคดีก่อนหน้านี้ เป็นสํานวนที่นั่นหนามากว่ามีการดําเนินการผิดกฎหมายในขั้นตอนใดอย่างไร หากเปลี่ยนโครงสร้างกรรมการการเลือกตั้งจะเป็นการพลิกคดี ทําให้ถือว่าเป่าคดี หรือทําให้คดีนั้นเป็นมวยล้มหรือไม่ 

นพ.เปรมศักดิ์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในระยะหลังนายกรัฐมนตรีไม่เป็นการบริหารราชการแผ่นดินตามตําแหน่งหน้าที่ แต่ไปมุ่งเรื่องประกาศระดมพลพรรคพวกจากบ้านใหญ่ต่างๆ มา เพื่อเตรียมการการเลือกตั้ง สส.ดังนั้น จึงต้องเตรียมกรรมการการเลือกตั้งให้สอดคล้องรองรับกับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะถึงในเร็วๆ นี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็มีการออกมาเปิดประเด็นเองว่า อาจมีการยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันเปิดสมัยประชุมสภา จึงเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับข้อสงสัยว่า หรือจะต้องเตรียมกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นเหมือนอย่างที่มีคําเคยกล่าวในอดีตว่า กกต.ของเรา ก่อนที่จะลงสู่สนามเลือกตั้งหรือไม่ 

ดังนั้น ต้องระวัง ทั้งเรื่องกฎหมาย และตรวจสอบอดีตของกรรมการการเลือกตั้ง เช่น ประธานกรรมการการเลือกตั้งคนเดิม ที่ต้องคําพิพากษาถึงขั้นจําคุก ว่าได้มีการกระทําไม่ถูกกฎหมายอย่างไร ถึงได้รับโทษทัณฑ์รุนแรงขนาดนั้น จึงควรระมัดระวังความประพฤติที่อาจผิดกฎหมายของกรรมการการเลือกตั้งคนใหม่ 

"จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ถือว่า เป็นการประพฤติมิชอบ สามารถยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้มีมติสรุปส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาได้ด้วยว่า เป็นการกระทําที่มิชอบด้วยกฎหมายอย่างไร มีโทษตามกฎหมายอย่างไร สอดคล้องกับมาตรา 157 หรือไม่ ย้ําว่า ไม่ใช่เรื่องเล็ก บางครั้งมีการเปิดตัวเพื่อกลบกระแส แต่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนี้ ต้องเรียนว่า หากเกิดจากกรรมการการเลือกตั้งชุดใดสีใด มีความลําเอียงที่อาจเกิดทางการเมืองหรือไม่ เพราะถ้าถูกกฎหมาย แต่ไม่ชอบธรรม ก็ทําให้พังทลายได้เหมือนกัน"

ด้าน พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว สว.ในบัญชีรายชื่อสำรอง เป็นตัวแทนคณะ สว.สำรอง ระบุว่า ได้ยื่นเรื่องต่อเลขาธิการวุฒิสภา สืบเนื่องจากที่เคยทำหนังสือแจ้งให้ กกต.เลือกประธาน กกต.โดยอ้างว่า สว.ได้ให้ความเห็นชอบ กกต. 2 ท่านแล้ว แต่ยังไม่ได้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ แต่อย่างใด จากนั้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน กกต.ก็ได้มีการประชุมกันโดยมี กกต. 5 ท่านเดิม และอีก 2 ท่าน ที่ยังไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ได้ 4 คะแนน ขณะที่ นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ ได้ 3 คะแนน

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวต่อว่า สื่อมวลชนและนักวิชาการหลายท่านได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า การเลือกประธาน กกต.ในครั้งนี้ถูกต้องชอบธรรมโดยกฎหมายหรือไม่ แม้เลขาธิการวุฒิสภาจะอ้างว่า ดำเนินการตามมาตรา 12 วรรค 9 ก็จริง แต่เนื่องจากในมาตรา 15 นายอิทธิพรก็ยังเป็น กกต.และยังรักษาการอยู่ ความเป็นประธาน กกต.ของนายอิทธิพรจึงยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ ดังนั้น การเลือกประธาน กกต.ขึ้นมาแทน จึงเหมือนการเลือกซ้อนหรือไม่

ทั้งนี้ มาตรา 12 วรรค 9 ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วย กกต. ระบุว่า “เมื่อมีผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้ว หากเป็นกรณีที่ประธานกรรมการพ้นจากตำแหน่งด้วย ให้ผู้ได้รับความเห็นชอบร่วมกับกรรมการซึ่งยังไม่พ้นตำแหน่ง ถ้ามีเพื่อการเลือกกันเองให้หนึ่งคนเป็นประธานกรรมการแล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ”

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า ในเมื่อเกิดความสงสัยเช่นนี้ ก็ควรทำให้ชัดเจน จะได้ไม่มีข้อกังขากันต่อไป จึงได้นำหนังสือขอให้เลขาธิการวุฒิสภาได้ทบทวนเรื่องนี้ ก่อนจะนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ ให้เกิดความชัดเจน

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top