วันศุกร์ ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 นายอัษฎางค์ ยมนาค หรือ “เอ็ดดี้” นักวิชาการอิสระ ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “25 สถานการณ์ “หนูรับบาป” ที่นายกฯ หาดใหญ่ย่าง“หนู” ให้กลายเป็น “แพะ”
1. วิกฤตครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า 'ภัยธรรมชาติ' กลายเป็น 'ภัยพิบัติ' ได้ ก็ด้วยฝีมือการบริหารจัดการของมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อ 'ข้อมูล' ถูกบิดเบือน และ 'โครงสร้างการสั่งการ' ไม่เป็นเอกภาพ"
2. น้ำท่วมหาดใหญ่ในครั้งนี้ สาเหตุสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวภัยพิบัติน้ำท่วมหาดใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ "ความล้มเหลวในการบริหารจัดการและการสื่อสารภาวะวิกฤตของผู้นำท้องถิ่น"
3. "ความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์และการสื่อสาร" ของเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่ทำให้ประชาชน "ตายใจ" จนไม่ยอมอพยพ
4. นายกเทศมนตรีและทีมงานส่งสารว่า "เอาอยู่" และ "ระดับน้ำลดลง" ให้เชื่อใจเทศบาล ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสถานการณ์ปลอดภัย
5. ประชาชนในพื้นที่เชื่อถือ "ข่าวสารท้องถิ่น" และ "ระบบธง" ของเทศบาล มากกว่าคำเตือนจากกรมอุตุฯ หรือส่วนกลาง
6. การเปลี่ยนสถานะการเตือนภัยจาก "ธงเขียว" (ปกติ) ไปเป็น "ธงแดง" (วิกฤต) เกิดขึ้นกะทันหันในเวลากลางคืน ทำให้ประชาชนเตรียมตัวไม่ทัน
7. องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นรายงานข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริงไปยังรัฐบาลกลาง (นายกฯ อนุทิน) ทำให้การสั่งการช่วยเหลือจากส่วนกลางล่าช้า หรือผิดพลาดตามไปด้วย
8. วุฒิภาวะของผู้นำท้องถิ่นที่เน้นสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่น แต่ขาดความรับผิดชอบเมื่อเกิดความผิดพลาด (ไม่ยอมรับความจริง)
9. ในขณะที่ความผิดพลาดหลักอยู่ที่ "ท้องถิ่น" (เทศบาล) แต่จำเลยสังคมกลับกลายเป็น "รัฐบาลกลาง" นายกฯ อนุทิน กลายเป็นแพะรับบาปที่ถูกด่าว่าทำงานล่าช้า ทั้งที่ได้รับรายงานผิด
10. Crisis Management ต้นทุนราคาแพงของ "False Assurance" (การรับรองความปลอดภัยที่เป็นเท็จ)
11. ดาบสองคมของ "ความไว้เนื้อเชื่อใจ" ประเด็นนี้น่าสนใจมากโดยปกติ "ความเชื่อมั่น" ถือเป็นทุนทางสังคมที่ดี แต่ในกรณีนี้กลับกลายเป็น "จุดตาย"
12. คนหาดใหญ่มีพฤติกรรมเชื่อถือ "ข้อมูลท้องถิ่น" มากกว่า "ข้อมูลส่วนกลาง" (กรมอุตุฯ/รัฐบาล) เพราะประสบการณ์ในอดีตสอนว่าคนในพื้นที่จะรู้ดีที่สุด
13. เมื่อเทศบาลใช้เครดิตความน่าเชื่อถือนี้มายืนยันข้อมูลที่ผิดพลาด ประชาชนจึง "ปิดรับ" สัญญาณเตือนภัยอื่นๆ (เช่น สัญญาณเตือนภัยจากส่วนกลางที่ดังขึ้น แต่คนเลือกที่จะไม่เชื่อ เพราะเทศบาลบอกว่าธงเขียว)
14. ผลลัพธ์ของความเชื่อใจกลายเป็น "กรงขัง" ที่ทำให้ประชาชนรออยู่กับที่จนหนีไม่ทัน บทเรียนนี้ชี้ให้เห็นว่า ในภาวะวิกฤต ประชาชนควรมี "แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย“ และไม่ควรฝากชีวิตไว้กับหน่วยงานเดียว
15. รอยรั่วของการกระจายอำนาจประเทศไทยพยายามผลักดันการกระจายอำนาจ ให้ท้องถิ่นดูแลตนเอง แต่เคสนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรง
16. เทศบาล ต้องการรักษาภาพลักษณ์ทางการเมือง จึงเลือกรายงานข้อมูลด้านดี ไปยังรัฐบาล (นายกฯ อนุทิน)
17. ผลคือ ส่วนกลางประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้การจัดสรรทรัพยากรขนาดใหญ่ (เรือผลักดันน้ำ, เฮลิคอปเตอร์, กำลังทหาร) มาไม่ทันเวลา
18. เทศบาลนครหาดใหญ่มีความสามารถในการจัดการ "น้ำท่วมเมื่อปกติ" แต่ไม่มีศักยภาพพอที่จะรับมือ "อุทกภัยระดับภัยพิบัติ" ที่เกิดจาก Rain Bomb + ปัจจัยภูมิศาสตร์แอ่งกระทะ
19. เมื่อเกิดภัยระดับนี้ ท้องถิ่นมักจะ "กอดอำนาจ/ความรับผิดชอบ" ไว้นานเกินไป (เพราะกลัวเสียหน้าหรือถูกแทรกแซง) กว่าจะยอมรับความจริงและขอความช่วยเหลือ ก็สายเกินแก้
20. การบริหารแบบแยกส่วน ทำให้การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่าง "ท้องถิ่น" กับ "ส่วนกลาง" ขาดหาย ทำให้รัฐบาลกลางกลายเป็นแพะรับบาป ทั้งที่ต้นตอข้อมูลมาจากรัฐบาลท้องถิ่น
21. อย่างไรก็ตาม คุณอนุทินมีส่วนรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารสูงสุด แม้ว่าต้นเหตุของข้อมูลที่ผิดพลาดจะมาจากท้องถิ่นก็ตาม"
22. หากท้องถิ่นไร้ประสิทธิภาพหรือปกปิดข้อมูล ส่วนกลางมีหน้าที่ต้อง "Cross-check" (ตรวจสอบทานข้อมูล) ไม่ใช่รอรับรายงานเพียงทางเดียว การที่ส่วนกลางเชื่อข้อมูลท้องถิ่น 100% โดยไม่ประเมินจากข้อมูลอื่นประกอบ (เช่น กรมอุตุฯ, ภาพถ่ายดาวเทียม, ข้อมูล Social Media ภาคประชาชน) ถือเป็นความบกพร่องในการประเมินสถานการณ์ ของส่วนกลางด้วย
23. หน้าที่ของผู้บริหารสูงสุดคือการบูรณาการข้อมูล หากข้อมูลจาก "กรมอุตุฯ" (ส่วนกลาง) ขัดแย้งกับ "เทศบาล" ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดต้องเข้ามาวินิจฉัยและสั่งการทันที ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนสับสน การปล่อยให้เกิดช่องว่างนี้คือความรับผิดชอบของผู้นำระดับชาติ
24. ในทางการเมืองและการบริหาร ผู้นำสูงสุดต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์สุดท้าย แม้ลูกน้อง (หรือท้องถิ่น) จะทำงานพลาด แต่ผู้นำปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ว่า "ไม่รู้เพราะลูกน้องรายงานผิด"
25. นายกฯ อนุทินถูกด่าเพราะ “ท้องถิ่นรายงานผิด” แต่สังคมไทยมักเล่นการเมืองด้วยความรู้สึก มากกว่าหลักฐาน
จึงไม่แปลกที่ นายกฯ หาดใหญ่สามารถย่าง “หนู” ให้กลายเป็น “แพะ“ ได้ อย่างไรก็ตาม คุณอนุทิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็มีส่วนรับผิดชอบในความผิดในฐานะผู้บริหารสูงสุด ตามที่ได้กล่าวแล้ว ดูน้อยลง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี