วันศุกร์ ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
จี้รัฐบาลช่วยเหยื่อสแกม “มินละปาน”กว่า 300 คน “กัณวีร์”แนะรัฐใช้การทูตหลากหลายชายแดนไทยพม่า-เร่งวางแผนปฎิบัติการระดับชาติรับมือเหยื่อต่างชาติทะลักไทย-พบต้มตุ๋นรูปแบบใหม่ “ฟิลแฟน”หลอกให้รักแล้วพาตัวไปขายหัวละ 3-4 หมื่น
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงชาวต่างชาติกว่า 300 คนที่ออกมาจากสแกมเซ็นเตอร์ “มินละปาน”ทางตอนใต้ของเมืองเมียวดี ประเทศพม่า ตรงข้ามบ้านห้วยมหาวงศ์ ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ของกองกำลังกะเหรี่ยงDKBA (Democratic Karen Benevolent Army) เพื่อต้องการข้ามมายังฝั่งไทย แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการไทยทำให้ต้องปักหลักนอนค้างคืนอยู่ริมแม่น้ำเมยฝั่งเมียวดี ภายหลังแหล่งสแกมในมินละปานถูกทหารของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) บุกยึดไว้ได้ว่า ทราบข้อมูลเบื้องต้นจาก KNU แล้ว โดยชาวต่างชาติกว่า 300 คนนี้มาจาก 17 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นคนจีน 198 คน ซึ่งยังไม่รวมคนที่อยู่ในตึกอีกจำนวนมาก โดยKNU สามารถยึดอุปกรณ์ต่างๆได้มากมายซึ่งเป็นหลักฐานและพยานเชื่อมโยงนำไปใช้ในชั้นศาลได้ โดยเขาพร้อมจะมอบให้กับทางการไทย เพียงแต่ขณะนี้เมื่อประสานทางการไทยกลับไม่มีความพร้อม เข้าใจว่ารัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับอุทกภัยที่หาดใหญ่ซึ่งก็เข้าใจ แต่สถานการณ์ชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก ก็ไม่อาจละเลยได้เช่นกัน ดังนั้นรัฐบาลต้องแบ่งคนเข้ามาดูแลด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่านายกรัฐมนตรีได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับนานาชาติว่าไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ทุ่มเทกับการปราบปรามเหล่าอาชญากรข้ามชาติกลุ่มนี้
สส.พรรคเป็นธรรมกล่าวว่า ชาวต่างชาติกว่า 300 คนที่ปักหลักรอข้ามมาฝั่งไทยนั้น มีคนไทยบางคนตั้งคำถามว่าทำไมต้องรับคนเหล่านี้เข้ามา ซึ่งต้องเข้าใจว่า คน 17 สัญชาติส่วนใหญ่เดินทางเข้ามาประเทศไทยก่อนที่จะข้ามไปฝั่งพม่า เพราะพวกเขาถูกหลอกโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน ดังนั้นรัฐบาลไทยควรต้องให้เขาเป็นพยานโดยค้นหาความจริงเพื่อนำมาขยายผล จากนั้นก็ให้สถานทูตของแต่ละประเทศมารับตัว รัฐบาลไทยต้องทำตามบทบาทหน้าที่ ใครเป็นเหยื่อก็นำเข้ากลไกส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism : NRM) และร่วมมือกับสถานทูตต่างๆ
“เราควรมีแผนปฎิบัติการระดับชาติเพื่อเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ได้ทันที ที่ผ่านมารัฐบาลทหารพม่าพยายามทำให้โลกเห็นว่าเขาปราบปรามสแกมจริงจัง ซึ่งมีผลโดยตรงที่ต้องส่งคนกลับมาฝั่งประเทศไทย ทำให้คนไทยบางส่วนรู้สึกว่าทำไมต้องเอาภาษีไปช่วยคนเหล่านี้ด้วย อยากให้เข้าใจว่า เราต้องแก้ปัญหานี้เพราะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ เราต้องทำงานร่วมกับต่างชาติ ควรมีแผนระดับชาติ ควรดึงองคาพายพต่างๆเข้ามา เช่น สหรัฐฯ เราต้องใช้เวทีโลกล้อมให้ได้ ดึงเอาสหประชาชาติ หรือ IOM (องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน) เข้ามาเพราะเขามีงบประมาณอยู่แล้ว เราต้องไม่ทำงานโดดเดี่ยว ทำอย่างไรไม่ให้คนกลุ่มนี้หลบหนีเข้ามา แต่ควรมีแผนรับมือโดยในพื้นที่ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดและศูนย์สั่งการชายแดนต้องทำงานร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ เราจะได้เตรียมความพร้อมได้ทัน เราต้องวางแผนเร่งด่วนให้ได้”นายกัณวีร์ กล่าว
สส.พรรคเป็นธรรมกล่าวว่า อย่างกรณีน้ำท่วมที่หาดใหญ่ เรารู้ว่ากำลังมีสถานการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น แต่ยังปล่อยให้สู่ความเลวร้ายโดยไม่มีแผนอะไรเลย เช่นเดียวกับพื้นที่ชายแดนแม่สอด เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นรัฐบาลต้องวางแผนให้ได้ หากมีคนเป็นหมื่นเข้ามา จะต้องใช้กลไกอย่างไร และพวกเขาอยู่กี่วัน เราใช้ภาษีไทยอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดึงองคาพายพต่างๆมานร่วมแบ่งเบาภาระ
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีชาวต่างชาติกว่า 300 คนเมื่อถูกส่งตัวจาก KNU ทำให้รัฐบาลไทยไม่กล้ารับคนเหล่านี้เพราะ KNU คือฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลทหารพม่า จะแก้ปัญหานี้อย่างไร นายกัณวีร์กล่าวว่า การทำงานระหว่างรัฐต่อรัฐอย่างเดียวอาจไม่พอ รัฐบาลไทยจะเกรงใจรัฐบาทหารพม่าอย่างเดียวไม่ได้ เพราะทำให้แก้ปัญหาคนที่ได้รับผลกระทบไม่ได้ รวมถึงการปราบปรามสแกมเซ็นเตอร์ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทราบกันดีว่าอาชญากรระดับบอสได้อพยพหนีไปหลบอยู่ในย่างกุ้งแล้ว
“เราต้องยอมรับทำงาน Track 2 หรือ Track 2.5 (การทูตกึ่งทางการและไม่เป็นทางการ) รัฐบาลไทยต้องวางแผนรับมือให้ได้ ซึ่งเรากำลังทำอยู่ เพียงแต่ปรับเปลี่ยนไปตามรูปการณ์”นายกัณวีร์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ายังมีความเข้าใจผิดว่าชาวต่างชาติที่เข้ามาเป็นพวกสแกมอย่างเดียว แม้แต่นายกรัฐมนตรี จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร นายกัณวีร์กล่าวว่า ชาวต่างชาติจำนวนมากแม้เดินทางมาโดยสมัครใจ แต่เพราะถูกหลอกลวงว่ามาทำงานที่มีรายได้ดีในไทย แต่กลับถูกเป็นขบวนการอาชญากรรมข้ามชาตินำพาไปยังแหล่งสแกมในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเข้าไปทำงานงานที่ไม่ตรงปก พวกเขาจึงต้องทำซึ่งหาก (สแกม) ทำยอดไม่ได้ก็ถูกบังคับและทรมาน กลายเป็นการค้ามนุษย์ หากต้องการออกมาก็ต้องจ่ายเงิน
“ตอนนี้มีกลุ่มใหม่คือฟีลแฟน คือ (คนไทยหลอกคนไทย) หลอกให้เป็นแฟน 2-3 ครั้ง บางครั้งยอมเสียตัว แล้วพาข้ามไปแหล่งอาชญากรรมในประเทศเพื่อนบ้าน ได้ค่าหัวครั้งละ 3-4 หมื่น เป็นการหลอกให้รักแล้วพาไป ส่วนใหญ่เป็นพวกผู้หญิงที่หลอกพาแฟนไปเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ ผมเพิ่งไปเจอเหยื่อมาด้านชายแดนกัมพูชา ต้องระวังกันให้มากเพราะเป็นเทรนด์ใหม่”นายกัณวีร์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ทางการไทยไม่ยอมให้เหยื่อกว่า 300 คนข้ามมาเพราะส่งมาจาก KNU ควรแก้ปัญหาอย่างไร นายกัณวีร์กล่าวว่า รัฐบาลไทยควรรับคนเหล่านี้เข้ามาก่อนเพราะเป็นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ขณะเดียวกันควรเร่งประสานกับประเทศต้นทางของคนเหล่านี้ เพื่อให้มารับตัวคนของตัวเอง
“การที่รัฐบาลไทยไม่จัดการอะไรเลย อาจกลายเป็นว่าไทยถูกมองเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์หรือไม่ เหมือนที่นานาชาติกำลังมองพม่า ดังนั้นเราควรเอามนุษยธรรมเป็นตัวนำ เราเคยส่งกลับผู้ลี้ภัยไปฝั่งพม่า เช่นเดียวกัน เขาข้ามจากจุดไหน เราก็ส่งกลับจุดนั้น ชาวต่างชาติออกไปจากจุดไหนก็ควรส่งกลับมาที่จุดนั้นเราต้องแสดงให้เห็นว่าเราเอาจริงกับปัญหานี้”นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ยังไม่เคยมีการดำเนินการกับไทยเทา-ไทยดำเลย เชื่อว่าต้องมีคนที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก อยากเรียกร้องรัฐบาลไทยให้มีการสืบสวนสอบสวนให้ถึงขบวนการนำพาเหยื่อ ยิ่งรัฐบาลปกปิดยิ่งขยายกว้าง ทุกวันนี้เรายังเห็นท่าข้ามฟากส่งคนข้ามไป ทั้งนักการเมืองระดับชาติ ระดับท้องถิ่น นักธุรกิจ รวมถึงข้าราชการบางคน ยังทุจริตคอรัปชั่นได้รับผลประโยชน์จากเหล่าอาชญากรข้ามชาติกันอย่างโจ่งแจ้ง เชื่อได้ว่าหากรัฐบาลไทยยังเฉยก็จะถูกวิจารณ์ได้ว่ารู้เห็นเป็นใจกับสแกมเมอร์ แต่หากต้องการให้ตัวเองบริสุทธิ์ รัฐบาลไทยก็ต้องเร่งดำเนินการกับคนเหล่านี้ อย่าตัดตอนคนที่ถูกส่งออกมาจากแหล่งอาชญากรรมโดยรีบส่งกลับประเทศต้นทางโดยไม่สืบสาวราวเรื่อง เหมือนที่เคยส่งคนจีนไปเลยโดยที่ไม่สืบสวนสอบสวนอะไรเลย รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ใช่เหยื่อแต่เป็นอาชญากรข้ามชาติแต่ก็ปล่อยไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี