วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568
จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สุราษฎร์ธานี นราธิวาสปัตตานี และยะลา ที่เกิดขึ้นจากฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน กลายเป็นบททดสอบสำคัญต่อศักยภาพของทั้งรัฐบาลส่วนกลาง หน่วยงานความมั่นคง กู้ภัยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)ในการบริหารจัดการรับมือภัยพิบัติ ซึ่งปัจจัยสำคัญในเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่เพียงการจัดการ“น้ำท่วม”แต่รวมถึงการสื่อสาร การเตือนภัย การช่วยเหลือเร่งด่วน และ การเยียวยาผู้ประสบภัยที่ตามมาภายหลังน้ำลด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีสถานการณ์อุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม ในพื้นที่ภาคใต้ โดยมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม ว่าสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ภาคใต้ส่งผลกระทบต่อสถานบริการของกระทรวงสาธารณสุขใน 9 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ตรัง นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา และสตูล
จากการประเมินความเสียหายเบื้องต้น พบมีมูลค่าประมาณ 1,101.972 ล้านบาท แบ่งเป็น สิ่งก่อสร้าง 759.152 ล้านบาท ครุภัณฑ์ 371.006 ล้านบาท และวัสดุ 5 ล้านบาท เฉพาะโรงพยาบาลหาดใหญ่ มูลค่าความเสียหายสูงถึง 930 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างทีมผู้เชี่ยวชาญสำรวจประเมินโดยละเอียด เพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนงบกลางจากรัฐบาลต่อไป สำหรับบุคลากรที่ได้รับผลกระทบ ที่ประชุมได้มีข้อสั่งการให้จัดระบบดูแลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมถึงการกลับมาทำงานให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลด้วย
“ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิต สรุปข้อมูลวันที่2ธ.ค.รวมทั้งสิ้น 180 ราย ในจำนวนนี้แบ่งเป็น จ.สงขลา เฉพาะอ.หาดใหญ่ มีผู้เสียชีวิต 142 ราย ส่วนอีก 7 จังหวัด มีรายงานผู้เสียชีวิตที่ จ.นครศรีธรรมราช 10 ราย จ.ตรัง 3 ราย จ.พัทลุง 4 ราย จ.สตูล 3 ราย จ.ปัตตานี 9 ราย จ.ยะลา 5 ราย และ จ.นราธิวาส 4 ราย”นพ.เอกชัย กล่าว
เรื่องนี้ จะถอดบทเรียนทั้งในด้านที่“ทำได้ดี”และ“สิ่งที่ยังต้องปรับปรุง”เพื่อสะท้อนภาพรวมของระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติไทยในปัจจุบัน
1. จุดที่ทำได้ดี : การตอบสนองรวดเร็วและการบูรณาการหน่วยงาน
การเกณฑ์กำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่อย่างรวดเร็ว รัฐบาลได้สั่งการให้ทหาร มทบ.–มณฑลทหารจังหวัด หน่วย ปภ.และกู้ภัยท้องถิ่น ลงพื้นที่ทันที ส่งผลให้สามารถ อพยพผู้สูงอายุ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง กระจายอาหาร–น้ำ ได้อย่างรวดเร็วในหลายอำเภอของหาดใหญ่และในพื้นที่จังหวัดในภาคใต้
ข้อดี: ลดความเสียหายต่อชีวิต และสุขภาพประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ
ระบบสื่อสารออนไลน์ของท้องถิ่น เทศบาลนครหาดใหญ่, อบจ.สงขลา รวมถึงเครือข่ายจิตอาสา สามารถใช้ Facebook / Line OA ในการแจ้งเตือนระดับน้ำแบบรายชั่วโมง ทำให้ประชาชนหลายพื้นที่เตรียมอุปกรณ์ ป้องกันบ้านเรือน และขนย้ายรถก่อนน้ำเข้าท่วม
แต่บางพื้นที่กลับประมาทกับการเตือนของท้องถิ่นโดยเฉพาะเทศบาลนครหาดใหญ่ว่าสามารถรับมือได้เอาอยู่ ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นการประเมินสถานการณ์ปริมาณน้ำฝนผิดพลาดเนื่องจากเกิดฝนตกอย่างหนักเกินปริมาณปกติตกแช่ต่อเนื่องส่งผลให้มีน้ำปริมาณจำนวนมาก ระดับน้ำสูงขึ้นท่วมอย่างรวดเร็ว
การร่วมมือของเอกชนและจิตอาสา
ธุรกิจท้องถิ่น ร้านค้าส่ง องค์กรศาสนา และเครือข่ายกู้ภัยได้ร่วมส่งอาหาร น้ำดื่ม เรือยางและอุปกรณ์ให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งทำให้การช่วยเหลือครอบคลุมจุดที่รัฐเข้าไม่ถึงทันที
2. ข้อจำกัด และปัญหาที่สะท้อนโครงสร้างระบบภัยพิบัติไทย
แม้หลายหน่วยงานทำงานเต็มกำลัง แต่เหตุการณ์นี้ก็สะท้อนจุดอ่อนเชิงโครงสร้างหลายประการ
ระบบเตือนภัยที่ยังไม่แม่นยำและไม่เข้าถึงกลุ่มเสี่ยง
แม้มีประกาศเตือนฝนหนัก แต่ข้อมูลที่ “เจาะจงพื้นที่วิกฤติ” ยังไม่มากพอ บางชุมชนในพื้นที่ลุ่มต่ำรอบคลองอู่ตะเภาไม่ได้รับรู้ความเสี่ยงล่วงหน้า จึงเกิดเหตุผู้คนติดอยู่ในบ้าน และการอพยพทำได้ช้า
การบริหารจัดการน้ำแบบแยกส่วน
แม้หาดใหญ่เคยมีบทเรียนครั้งใหญ่ปี 2553 แต่ในปีนี้ก็ยังพบปัญหาเดิม ได้แก่ การเปิด–ปิดประตูระบายน้ำไม่สอดคล้องระดับน้ำจริง การขาดแผนระบายร่วมระหว่างกรมชลประทาน–เทศบาล พื้นที่รับน้ำชุมชนถูกบุกรุก ทำให้ทางน้ำธรรมชาติลดลง แสดงให้เห็นว่า แผนแม่บทป้องกันน้ำท่วมหาดใหญ่ ยังไม่สมบูรณ์ และบางโครงการค้างคาเป็น 10 ปี
การกระจายความช่วยเหลือไม่ทั่วถึง
ในช่วง 24–48 ชั่วโมงแรก มีหลายพื้นที่ที่ได้รับน้ำท่วมสูงแต่ความช่วยเหลือเข้าช้า โดยเฉพาะ
หมู่บ้านชนบทรอบหาดใหญ่ พื้นที่เชื่อมต่อระหว่างเขตรับผิดชอบของ 2 อปท. ชุมชนไม่มีเส้นทางสัญจรรถเข้าได้
ชี้ว่าระบบประสานงานท้องถิ่นยังไม่สอดประสานกัน
ข้อจำกัดด้านงบฉุกเฉิน
ท้องถิ่นหลายแห่งมีงบฉุกเฉินจำกัด ทำให้การแจกถุงยังชีพและการเปิดศูนย์พักพิงต้องรอคำสั่งหรือรอเบิกงบจากส่วนกลาง ทำให้ความช่วยเหลือบางส่วนล่าช้า
3. การเยียวยาผู้ประสบภัย : ความตั้งใจมีจริง แต่ขั้นตอนยังซับซ้อน
ข้อดี รัฐบาลประกาศให้พื้นที่ประสบภัย เป็น“เขตพิบัติการ”ทำให้สามารถใช้งบได้รวดเร็วขึ้น มีมาตรการช่วยเหลือเบื้องต้นตามกรอบ ปภ. เช่น ซ่อมบ้าน 20,000–33,000 บาท การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี และส.ส. ช่วยให้เกิดการ เร่งรัดหน่วยงานภายใน
จุดอ่อน การลงทะเบียนเยียวยาส่วนใหญ่ ยังต้องยื่นเอกสารจำนวนมาก ระบบตรวจสอบความเสียหายเชื่องช้าเพราะบุคลากรมีจำกัด ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกร ต้องรอข้อมูลยืนยันเป็นสัปดาห์กว่าจะเข้าระบบชดเชย
มาตรการระยะยาว เช่น“สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับธุรกิจเสียหาย” ยังไม่ชัดเจน สะท้อนว่า ไทยยังไม่มีระบบเยียวยาแบบดิจิทัลที่ลดภาระประชาชนจริงๆ แต่เพียงไม่กี่วัน รัฐบาลภายใต้การนำของอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เร่งดำเนินการพยายามลดขั้นตอนพร้อมสั่งให้เยียวยาโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ถึงมือผู้ประสบภัยโดยเร็วโดยโอนเงินเยียวยา 2 ลอตรวมยอดแล้วทะลุ 1 แสนกว่าครัวเรือนแล้ว
4. บทเรียนสำคัญ : ระบบที่ต้องอัปเกรดเพื่ออนาคต
จากเหตุการณ์นี้ มี 4 บทเรียนใหญ่ ที่รัฐบาลและท้องถิ่นต้องนำไปพิจารณา
1) พัฒนา “ระบบเตือนภัยรายพื้นที่”(Hyper-local warning) ควรใช้ IoTวัดระดับน้ำ Radar Short-range
ระบบ SMS เตือนแบบระบุตำบล–หมู่บ้าน เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิต
2) ปรับปรุงผังเมืองและทางน้ำรอบหาดใหญ่ ปัญหาสำคัญคือทางน้ำแคบลง คลองตื้นเขิน พื้นที่รับน้ำธรรมชาติลดลงจากการขยายตัวของเมืองต้องมี“แผนแม่บทระบายอุทกภัยหาดใหญ่”ที่ต่อเนื่องและจริงจัง
3) กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น มีงบฉุกเฉินมากขึ้น
อปท.ควรมี งบภัยพิบัติใช้ได้ทันที ระบบ Logistic ของตนเอง เครื่องมือกู้ภัยมาตรฐาน
เพื่อลดการพึ่งส่วนกลางมากเกินไป
4) สร้างระบบเยียวยาดิจิทัลแบบรวดเร็ว (One-stop Disaster Relief) ประชาชนควรสามารถ
ลงทะเบียนออนไลน์ ตรวจสอบสิทธิ รับเงินช่วยเหลือภายใน 3–5 วัน เหมือนกรณีโควิดที่เคยทำได้
สรุปภาพรวม : รัฐบาล–ท้องถิ่นทำงานหนัก แต่โครงสร้างระบบยังเป็นปัญหา
เหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้ สะท้อนว่า เจ้าหน้าที่ทหารภาคสนามทำงานเข้มแข็ง การตอบสนองเบื้องต้นทำได้ดี ในหลายพื้นที่ภาคประชาชน จิตอาสา ภาคเอกชน ร่วมมือมากกว่าทุกครั้งก่อน แต่ต้องยอมรับปริมาณน้ำฝนมีจำนวนมากกว่าทุกครั้งในรอบ 300 ปี ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย
แต่ในขณะเดียวกัน ระบบเตือนภัยยังไม่ทันสมัย แผนการระบายน้ำ ยังไม่ครบวงจร งบท้องถิ่นน้อย
ระบบเยียวยายังเชื่องช้า
จึงเป็นโอกาสให้รัฐบาลใช้โอกาสนี้ในการ“พัฒนาระบบภัยพิบัติไทยทั้งระบบ”เพื่อให้ภาคใต้มีความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว ถอดบทเรียนอย่างจริงจังในการเตรียมอุปกรณ์ในภาวะฉุกเฉินประจำบ้านเรือนที่พักให้พร้อมและจะต้องมีการฝึกซ้อม รวมทั้งหน่วยงานในพื้นที่ตจะต้องกำหนด “จุดพักพิง”หรือ“จุดอพยพ”ให้ชัดเจนกี่แห่ง เพื่อลดการสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำอีก
ไม่เช่นนั้นในอนาคต หากไม่มีความเชื่อมั่นในการรับมือกับภัยภิบัติได้ อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการและนักลงทุน จะไม่กล้าเข้ามาซ่อมบูรณะอาคารร้านค้าหวั่นเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำเติมซ้ำอีกในอนาคต มองว่าไม่คุ้มค่า ดังนั้น จะส่งผลกระทบในระยะยาวทั้งด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวอย่างแน่นอน เพราะจากนี้ไป‘เมืองหาดใหญ่’ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกนาน และบรรยากาศเมืองท่องเที่ยวแดนใต้ จะไม่กลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป
- ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี