วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“ตราด” ตึงเครียดสั่งอพยพ 4 ตำบล หลังเขมรเสริมอาวุธหนัก-ประชิดชายแดน ระเบิด 8 ลูกตกฝั่งไทย ส่วนที่บรรยากาศที่ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เงียบสนิทประชาชนอพยพไปที่ปลอดภัยกันทั้งอำเภอ หลังเหตุปะทะดุเดือด คนไทยหลายร้อยคนในปอยเปต รอเดินทางกลับบ้านแต่ทางกัมพูชายังไม่ยอมปล่อยเดินทางกลับ โดยไม่ชี้แจงเหตุผล ทำให้ต้องติดค้างที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จ.สระแก้วขณะที่ รพ.ชายแดนถูกสั่งปิดอีก2แห่ง ย้ายผู้ป่วยแล้ว634ราย สธ.เปิด รพ.สนาม 100เตียงสนามในสระแก้ว
เมื่อเวลา 09.30น. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดตราดนายเกรียงไกร ปัญญาพงศธร นายอำเภอเมืองตราด พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงตราด ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายบริเวณถนนสุขุมวิท (ทั้งฝั่งขาเข้าและขาออก) ต.ชำราก อ.เมืองตราด รวมถึงพื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน หลังเมื่อวานนี้มีกระสุนปืนใหญ่จากฝั่งกัมพูชาตกเข้ามาในเขตไทย จากการตรวจสอบเบื้องต้นประเมินว่า มีวัตถุระเบิดตกเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทยประมาณ 8 ลูก โดยพบว่ามีระเบิดที่ยังไม่ทำงาน (ด้าน) หลงเหลืออยู่อย่างน้อย 2-3 ลูก ทั้งบนพื้นผิวจราจรและในสวนผลไม้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นพื้นที่และประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) เข้าดำเนินการเก็บกู้เพื่อความปลอดภัย
ขอปชช.ช่วยสอดส่องเขมรสอดแนม
เวลา 10.10น.สถานการณ์ได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ฉก.นย.ตราด) ได้เปิดปฏิบัติการทางทหารบริเวณพื้นที่บ้านสามหลัง ส่งผลให้มีเสียงปืนและเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ด้านฝ่ายความมั่นคงจังหวัดตราด ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนให้ช่วยเป็นหูเป็นตา โดยเฉพาะการสอดส่องพฤติกรรมบุคคลต้องสงสัยชาวกัมพูชา หลังการข่าวพบว่ามีการขี่รถจักรยานยนต์ตระเวนถ่ายภาพฐานปฏิบัติการของทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าว ให้ทำการควบคุมตัวไว้ทันที แล้วรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทหารหรือฝ่ายปกครองเพื่อดำเนินการจับกุม
สั่งอพยพด่วน4ตำบลชายแดนตราด
ล่าสุด ฝ่ายความมั่นคงได้มีคำสั่งด่วนให้ อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ 100% ในเขต 4 ตำบลชายแดนอำเภอเมืองตราด ได้แก่ ต.ชำราก, ต.ตะกาง, ต.ท่ากุ่ม และ ต.แหลมกลัด เนื่องจากสถานการณ์การปะทะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากการที่ฝ่ายกัมพูชาได้มีการเสริมกำลังพลและเคลื่อนย้ายอาวุธหนักเข้ามาประชิดแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นเวลา 11.00 น.ฐานปืนใหญ่ของฝั่งจังหวัดตราดได้ยิงปืนใหญ่สนับสนุนทหารนาวิกโยธินตราดบุกยึดพื้นที่บ้าน 3 หลัง และบริเวณกาสิโนที่บ้านทมอดา ต.เวียงเวล อ.เวียลเวง จ.โพธิสัต ที่ตรงข้ามกับบ้านท่าเส้น ต.แหลมกลัด อ.เมือง จ.ตราด กว่า 10 นัด ซึ่งเสียงปืนได้ยินถึงตัวเมืองตราดเป็นระยะๆ ท่ามกลางการเฝ้าติดตามของประชาชนในพื้นที่จังหวัดตราด
ตาพระยาเงียบสนิท ไร้ผู้คนออกนอกบ้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศช่วงเช้าที่ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ชาวบ้านปิดร้านค้าเต็ม 100% ไม่มีผู้คนออกมาเดินให้เห็นแม้แต่คนเดียว มีแต่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจของสภ.ตาพระยา กำลังเตรียมตัวที่จะเข้าไปเสริมแนวรบบริเวณชายแดน บ้านคลองแผงและบึงตะกวน หลังเมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา เกิดการปะทะกันอย่างหนัก และเสียงปืนสงบลงในเวลา 20.00 น.ปรากฏว่าฝ่ายกัมพูชายิงปืน ค.ลงข้างยานเกราะสไตรเกอร์ของทหารไทย บริเวณด่านบึงตะกวน อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เบื้องต้นมีทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 10 นาย นำตัวส่ง รพ.ตาพระยาเรียบร้อย รวมทั้งคนเจ็บคาดว่า วันนี้น่าจะมีการรบพุ่งอย่างดุเดือดอย่างแน่นอน
คนไทยที่ฝั่งปอยเปตรอกลับประเทศ
เพจ“สวท.สระแก้ว” รายงานว่าศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 รายงานสถานการณ์บริเวณด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว วันนี้ฝ่ายไทยเตรียมการเปิดด่านคลองลึกรับคนไทยจากฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชากลับประเทศ ตั้งแต่ห้วงเวลา 10.00 น.เป็นต้นไป ซึ่งคนไทยที่เดินทางเข้ามา จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการรับตัวและคัดกรองตามขั้นตอน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.), จนท.ตร.สภ.คลองลึก, ชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12, อาสาสมัครรักษาดินแดน และเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เพื่อคัดแยกและตรวจสอบหลักฐานการเข้า-ออกประเทศตามกฎหมาย และอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับภูมิลำเนาต่อไป
ต่อมารายงานว่า บรรยากาศที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พบว่า แรงงานกัมพูชาจำนวนมาก ทั้งจากตลาดโรงเกลือและพื้นที่ต่างๆ ในจังหวัดสระแก้ว ต่างหอบหิ้วสัมภาระ พาบุตรหลานทยอยเดินเท้ามุ่งหน้ากลับประเทศกัมพูชา โดยใช้ด่านคลองลึกเป็นเส้นทางผ่านหลัก
ด้านฝั่ง ปอยเปต ประเทศกัมพูชา แหล่งข่าวยืนยันว่า ขณะนี้มีคนไทยหลายร้อยคนรอเดินทางกลับเข้าประเทศไทยเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยกำลังเร่งเจรจากับฝ่ายกัมพูชา เพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนการเดินทางกลับของทั้งสองฝ่าย ซึ่งต้องใช้เวลาในการหารือพอสมควร
กัมพูชาเล่นแง่ไม่ปล่อยคนไทยกลับ
ต่อมาเวลา 15.00 น.สำนักงานประสานงานชายแดนไทย–กัมพูชา ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานให้คนไทยกลับเข้าประเทศ ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จ.สระแก้ว แต่ทางกัมพูชายังไม่อนุมัติให้คนไทยเดินทางกลับ โดยยังไม่ชี้แจงเหตุผลขณะฝ่ายความมั่นคง ได้ใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคง เนื่องจากที่ผ่านมาเคยพบว่ามีการแฝงตัวเข้ามาสอดแนมข้อมูลทางทหาร จึงต้องเข้มงวดเป็นพิเศษในช่วงสถานการณ์ตึงเครียด
อย่างไรก็ตาม หลังจากทางการกัมพูชา ไม่อนุญาตให้คนไทยเดินทางกลับประเทศ ล่าสุดฝ่ายความมั่นคงได้ชะลอการผลักดันแรงงานกัมพูชากับประเทศ ส่งผลให้มีชาวกัมพูชาที่เดินทางมารอตั้งแต่ช่วงเช้าไม่สามารถกลับประเทศได้ บางคนตัดสินใจเดินทางออกจากด่านคลองลึก กลับไปยังที่ตั้งก่อน เนื่องจากอากาศในพื้นที่ค่อนข้างร้อน
ขณะที่เพจกองทัพบก ทันกระแส โพสต์ข้อความว่า ด่วน!!! การทูตปอยเปตไม่ได้ผล กัมพูชาเมิน ไม่ปล่อยคนไทยกลับบ้าน ประณามกัมพูชา ไม่มีมนุษยธรรม ใช้พลเรือนบริสุทธิ์เป็นข้อต่อรอง นั่นคือพื้นที่การสู้รบความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สถานทูตไทยประสานขอให้เร่งเปิดทาง
ต่อมา สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ได้ส่งหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ขอความร่วมมืออำนวยความสะดวกให้ชาวไทยที่พำนักอยู่ในเมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย สามารถเดินทางกลับประเทศไทยผ่านด่านชายแดนนานาชาติปอยเปตได้อย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบ หลังกลุ่มคนไทยจำนวนหนึ่งแจ้งความประสงค์ต้องการกลับประเทศโดยเร่งด่วน โดยเนื้อหาในหนังสือระบุว่า ขอให้กัมพูชาประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การข้ามแดนเป็นไปโดยราบรื่น พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นด้านความปลอดภัยและความรวดเร็วของการเดินทางกลับประเทศของประชาชนไทย
พร้อมกันนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทยยังได้ย้ำความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้ง 2 ประเทศ พร้อมแสดงความขอบคุณต่อการสนับสนุนของหน่วยงานกัมพูชา โดยสำเนาหนังสือได้ส่งไปยังกรมตรวจคนเข้าเมืองกัมพูชา เพื่อร่วมดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
โรงพยาบาลชายแดนปิดอีก2แห่ง
ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข (PHEOC) นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการ สธ.เป็นประธานการประชุม ว่าจากเหตุปะทะที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ต้องมีการปิดโรงพยาบาล (รพ.) ในพื้นที่เสี่ยงใน จ.สระแก้ว เพิ่มอีก 2 แห่ง คือ รพ.อรัญประเทศ และ รพ.คลองหาด จากที่ปิดไปแล้ว 10 แห่ง (รพ.น้ำยืน รพ.นาจะหลวย รพ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี, รพ.กันทรลักษ์ รพ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ, รพ.กาบเชิง รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติฯ จ.สุรินทร์, รพ.ตาพระยา รพ.โคกสูง จ.สระแก้ว และ รพ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์) รวมเป็น 12 แห่ง
เปิดรพ.สนาม100เตียงสนามในสระแก้ว
และที่ปิดบริการบางส่วนอีก 8 แห่ง ได้แก่ รพ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ, รพ.ปราสาท รพ.สังขะ รพ.บัวเชด จ.สุรินทร์, รพ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์, รพ.บ่อไร่ รพ.คลองใหญ่ จ.ตราด และ รพ.จิตเวชสระแก้วราชนครินทร์ พร้อมทั้งเคลื่อนย้ายผู้ป่วยใน 634 ราย ไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ปลอดภัยส่วนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในพื้นที่เสี่ยงขณะนี้ได้ปิดบริการบางส่วน 7แห่ง และปิดชั่วคราว 198 แห่งทั้งนี้ มีการตั้ง รพ.สนาม 1 แห่ง รองรับได้ 100 เตียง ที่ จ.สระแก้ว ด้วย
พร้อมเคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้ทันที
โฆษก สธ. กล่าวว่า จากการซ้อมแผนบนโต๊ะ (Table Top Exercise) เพื่อเตรียมการอพยพเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น ได้กำหนดคู่โรงพยาบาลระหว่างเขตสุขภาพในการรับส่งต่อผู้ป่วยและสนับสนุนอัตรากำลังบุคลากร โดยเขตสุขภาพที่ 10 ส่งต่อเขตสุขภาพที่ 8, เขตสุขภาพที่ 9 ส่งต่อเขตสุขภาพที่ 7 และเขตสุขภาพที่ 6 ส่งต่อเขตสุขภาพที่ 4 พร้อมทั้งกำหนดเส้นทาง ระยะเวลาเดินทาง ลำดับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและระดับรถฉุกเฉินที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายอย่างชัดเจน สามารถปฏิบัติการได้ทันทีเมื่อได้รับแจ้งสถานการณ์
ปชช.เข้าศูนย์พักพิงแล้วกว่า2.5แสนราย
“สำหรับการดูแลประชาชนทั่วไปในศูนย์พักพิง ที่ขณะนี้เพิ่มเป็น 934 จุด ผู้เข้าพัก 258,617 คน เป็นกลุ่มเปราะบาง 46,252 คน ได้ส่งผู้ที่มีอาการป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลในพื้นที่ปลอดภัย 317 คน จัดทีมปฏิบัติการด้านสุขภาพลงพื้นที่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วย ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ (MERT/Mini-MERT) 43 ทีม ทีมปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินระดับสูง (ALS) 43 ทีม ทีมปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรค 114 ทีม ทีมปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม 76 ทีม และทีมช่วยเหลือทางด้านจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต 88 ทีม โดยจากการคัดกรองสุขภาพจิตประชาชน 27,413 ราย พบเครียดสูงและเสี่ยงทำร้ายตนเองรวม 388 ราย ได้ให้การปฐมพยาบาลทางจิตใจ และส่งเข้ารับการดูแลตามกระบวนการ พร้อมติดตามดูแลใกล้ชิด” นพ.เอกชัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี