วันเสาร์ ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ไทยลุยปฏิบัติการเข้มข้นไม่มียั้ง
‘กองทัพ’กร้าว!
ส่งเอฟ-16ถล่มคลังแสง
ทภ.2ลุยยึดคืน‘ช่องคนา’
ยิงฐานเขมรรอบตาควาย
สถานการณ์ชายแดนไทย-เขมรยังปะทะกันต่อเนื่องตลอดแนวรบ 7 จว. โดยเขมรเปิดฉากยิงใส่ทหารไทย 2 จุด ตั้งแต่ตีห้าที่อุบลฯ-ศรีสะเกษ ส่วนทอ.ส่งเอฟ-16 ทิ้งบอมบ์บ่อนสำคัญที่เขมรใช้เก็บอาวุธหนัก-ศูนย์บัญชาการ-โดรนพลีชี สกัดเป็นภัยคุกคามกำลังพล-อธิปไตยไทย ด้านทภ.2รายงานสู้รบมีปะทะ 4 จว. 13 แนวรบ ยิงทำลายฐานทหารรอบตาควาย-เนิน350 แต่ยังเข้าควบคุมไม่ได้ เหตุเขมรระดมยิงหนัก-กับระเบิดหนาแน่น สรุป 4 วัน ไทยสอยรถถัง T-55 กัมพูชา 3 คัน “BM-21” จำนวน 1 คัน ทำลายโดรนพลีชีพ 64 ลำ แอนตี้โดรน1เครื่อง กองทัพเผยตอบไม่ได้ปฏิบัติการทหารจบเมื่อไหร่ ขึ้นกับหลายปัจจัย “ทบ.-ทอ.-ทร.” ผนึกสกัดโดรนพลีชีพ เชิงรับ-เชิงรุก ลดสูญเสียเหล่าทัพแถลงตัวเลขพลเรือนเสียชีวิต3รายทหารดับ 9นายเจ็บ 120 นาย ประกาศกร้าวปฎิบัติการทางอากาศเข้มข้นเรื่อยๆ จนกว่าเขมรจะยุติคุกคามอธิปไตยไทย-ปชช.
สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชายังคงมีการปะทะต่อเนื่องเป็นวันที่ห้า ตลอดแนวพื้นที่ 7 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก
เปิดฉากปะทะ2จุดที่อุบลฯ-ศรีสะเกษ
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม เวลา 05.30 น. รายงานจากกองทัพภาคที่ 2 แจ้งว่า ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงทหารไทย 2 จุดคือ เนิน 500 ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี และชายแดนฝั่งบ้านโกมุย ทิศใต้ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
เขมรทำผิดตั้งใจใช้โบราณสถานเป็นฐานที่ตั้ง
พลตรีวินธัยสุวารี โฆษกกองทัพบกระบุถึงกรณีกระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาออกแถลงการณ์ประณามกองทัพไทยโจมตีพื้นที่ปราสาทตาควาย และอ้างถึงการโจมตีของไทยสร้างความเสียหายแก่ปราสาทพระวิหารว่า ไทยยึดมั่นอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954 ว่ากรณีความขัดแย้งทางอาวุธ ซึ่งกำหนดให้โบราณสถาน ต้องได้รับการคุ้มครอง และห้ามการโจมตีหรือกระทำการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายอนุสัญญาฯ มีข้อยกเว้นที่ระบุไว้ชัดเจนหากมีการนำโบราณสถานไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร เช่น ตั้งฐานที่มั่น ควบคุมการปฏิบัติการ เป็นจุดซุ่มยิงหรือใช้เป็นพื้นที่เตรียมโจมตี พื้นที่ดังกล่าวอาจ สูญเสียความคุ้มครองทางกฎหมายชั่วคราว ในส่วนที่เกี่ยวกับปฏิบัติการทหาร ดังนั้น เมื่อกัมพูชาตั้งใจใช้อาณาบริเวณโบราณสถานเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร รวมถึงใช้เป็นที่ตั้งระบบตรวจการณ์ และที่ตั้งระบบอาวุธยิงเพื่อใช้โจมตีต่อฝ่ายไทย ทำให้พื้นที่ดังกล่าวเข้าข่าย เป็นพื้นที่ที่ “สูญเสียความคุ้มครองชั่วคราว” ตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954
ยันไทยมีสิทธิตอบโต้ทางการทหาร
ทั้งนี้ กรณีพื้นที่ปราสาทตาควายและปราสาทพระวิหาร ถูกฝ่ายกัมพูชานำมาใช้ เพื่อการปฏิบัติการทางทหาร โดยใช้เป็นที่ตั้งระบบอาวุธยิง เป็นคลังเก็บกระสุนวัตถุระเบิด และทุ่นระเบิด สำหรับใช้โจมตีทำร้ายฝ่ายไทย ซึ่งมีหลักฐานเป็นภาพปรากฏตามสื่อโซเชียลได้ทั่วไป จึงควรเป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่เป็นฝ่ายที่ทำผิดกฎหมายมนุษยธรรม และทำผิดกติกาสากลเอง รวมถึงเป็นฝ่ายที่ไม่เห็นคุณค่าในมรดกทางวัฒนธรรม ไทยจึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะปกป้องภัยคุกคามเหล่านั้นได้ตามความเหมาะสมและได้สัดส่วน ตามหลักกติกาสากล ตามความจำเป็นเนื่องจากจากฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้บีบบังคับ
F-16ทิ้งไข่คลังน้ำมัน-บ่อนที่ใช้เป็นคลังอาวุธ
เพจเฟซบุ๊กArmy Military Force โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุมีรายงานว่าเมื่อคืนวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา เครื่องบินรบขับไล่ F-16 ของกองทัพอากาศไทยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ โดยทิ้งระเบิดแรงสูงใส่เป้าหมายบ่อนคาสิโน ในย่านจุ๊บโกกี อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชานอกจากนี้ ทหารไทยยังระดมยิงปืนใหญ่สนับสนุนเข้าโจมตีใส่คลังน้ำมันของกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติการใกล้กับบ่อนคาสิโนย่านจุ๊บโกกี ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
“การโจมตีนี้มีขึ้นหลังพบว่า บ่อนคาสิโนและคลังน้ำมันดังกล่าวถูกใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชา ได้แก่ เป็นสถานที่ปล่อยโดรนพลีชีพโจมตีทหารไทยเป็นคลังเก็บอาวุธหนักและเป็นจุดเติมเชื้อเพลิงให้แก่รถยิงจรวด BM-21”
ทภ.2ตอบโต้เขมรรุกคืบยึดช่องคนาสำเร็จ
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เวลา 09.00 น. ตามที่เกิดการสู้รบตามแนวชายไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ขอสรุปผลปฏิบัติสำคัญดังนี้ สถานการณ์เวลา 22.42 น. เกิดเหตุปะทะ โดยทหารกัมพูชาใช้อาวุธยิงสนับสนุน ได้แก่ ปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิด ยิงเข้ามายังที่ตั้งของไทย พร้อมใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ตรวจการณ์หลายพื้นที่สำคัญ ได้แก่ ช่องบกช่องสะงำช่องอานม้าปราสาทคนาปราสาทตาควายและเขาพระวิหาร
กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ตอบโต้ตามหลักการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วน โดยใช้อาวุธยิงสนับสนุนได้แก่ ปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิด เพื่อสกัดกั้นและทำลายเป้าหมายทางทหารสำคัญของฝ่ายตรงข้าม สร้างความเสียหายแก่ข้าศึกได้หลายพื้นที่ อาทิ ทำลายรถบรรทุกของข้าศึกโจมตีที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุน และที่ตั้งทางทหารของกัมพูชา
พื้นที่ช่องระยี–ปลดต่าง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ไทยเข้าควบคุม ยึดพื้นที่ และเสริมสร้างความมั่นคงต่อเนื่อง ป้องกันการโต้กลับของฝ่ายตรงข้ามพื้นที่ช่องคนา อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ได้รุกคืบเข้าตีต่อที่หมายตามแผนปฏิบัติการเป็นขั้นตอน ปัจจุบันสามารถยึดครองที่หมายสำคัญได้ และยังปฏิบัติการต่อเนื่องเพื่อควบคุมพื้นที่ให้เป็นไปตามแผน
ทภ.2รายงาน5วันปะทะ4จว.13แนวรบ
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) รายงานสถานการณ์สู้รบใน 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 7 - 11 ธันวาคมว่า ตามที่วันที่ 7 ธันวาคม กัมพูชายิงใส่ชุดลาดตระเวนของทหารไทย ที่ภูผาเหล็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเหตุให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย และเริ่มเปิดฉากยิงด้วยปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้อง (BM-21) เข้ามาดินแดนไทยตลอดแนวชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ทำให้บ้านเรือนประชาชน พื้นที่การเกษตร และสถานพยาบาลในพื้นที่เสียหายมาก ศูนย์ปฏิบัติการ ทภ.2เร่งอพยพประชาชนเข้าศูนย์พักพิงประจำจังหวัดที่จัดเตรียมไว้ เพื่อความปลอดภัย จากนั้นฝ่ายเราจึงยิงตอบโต้ตามกฎการใช้กำลังไปยังพื้นที่ภัยคุกคาม ด้วยอาวุธวิถีตรงและวิถีโค้งต่อฝ่ายกัมพูชา เพื่อสกัดกั้น ยับยั้งและทำลายอันตรายที่สร้างความเสียหายให้ประชาชนในพื้นที่ อันประกอบด้วยพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน 13 แนวรบ ดังนี้
1.ด้านจ.อุบลราชธานี 2 แนวรบหลัก ได้แก่ 1.1 พื้นที่ช่องบก 1.2 พื้นที่ช่องอานม้า 2. ด้านจ.ศรีสะเกษ 5 แนวรบหลัก ได้แก่ 2.1 พื้นที่ซำแต 2.2 โดนตรวล-ภูผี-สัตตะโสม-พนมประสิทธิโส-ช่องตาเฒ่า 2.3 ผามออีแดง และห้วยตามาเรีย 2.4 ภูมะเขือ-ช่องโดนเอาว์-พลาญยาว-พลาญหินแปดก้อน 2.5 ช่องสะงำ 3.จ.สุรินทร์ 5 แนวรบหลัก 3.1 ช่องจอม-ช่องเปรอ-ช่องระยี 3.2 พื้นที่คนา 3.3 พื้นที่ตาควาย 3.4 พื้นที่ช่องกร่าง 3.5 พื้นที่ตาเมือนธม 4. ด้าน จ.บุรีรัมย์ 1 แนวรบหลัก - ช่องสายตะกู
ยิงฐานเขมรรอบตาควาย-เนิน350ยังยึดไม่ได้
ผลการปฏิบัติสำคัญวันที่ 11 ธันวาคม 1. ช่องอานม้า เข้าควบคุมพื้นที่ได้บางส่วน 2. เข้าทำลายฐานปฏิบัติการข้าศึก บริเวณพื้นที่ซำแต 3. พื้นที่ช่องระยี - ช่องเปรอ เข้ายึดพื้นที่คืนถึงเส้นปฏิบัติการ แต่ยังถูกต่อต้านเป็นระยะ 4. พื้นที่คนา : เข้ายึดแล้ว 2 ที่หมาย ปัจจุบันถูกตีโต้ตอบจากฝ่ายตรงข้าม 5. พื้นที่ตาควาย : ยิงทำลายฐานทหารรอบปราสาท และเนิน 350 แต่ยังเข้าควบคุมไม่ได้ เนื่องจากถูกต่อต้านอย่างหนักจากอาวุธยิงสนับสนุน โดรน และกับระเบิดของฝ่ายกัมพูชาอย่างหนาแน่น
คาดทหารเขมรตาย89-ทำลายรถถังได้3คัน
จากการปฏิบัติของฝ่ายเราตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมาคาดว่า 1. ทหารกัมพูชา เสียชีวิต 89 ราย
2. ทำลายรถถังT-55 จำนวน 3 คัน (ในพื้นที่พนมประสิทธิโส) 3. ทำลายจรวดหลายลำกล้อง (BM-21) 1 คัน 4. ทำลายระบบโดรน 64 ลำ 5. ทำลายแอนตี้โดรน 1 ระบบ ในพื้นที่ห้วยตามาเรีย
ปะทะเดือดตลอดแนวรบจันท์-ตราด
เพจเฟซบุ๊กArmy Military Force รายงานว่า เช้าวันนี้ (11 ธันวาคม) เกิดการปะทะดุเดือดระหว่างทหารไทยและกัมพูชาตลอดแนวรบตั้งแต่พื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 เรื่อยไปจนถึงจังหวัดจันทบุรีและตราด ซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) โดยทหารทั้งสองฝ่ายมีการดวลปืนใหญ่และปืนค. และอาวุธหนักใส่กันต่อเนื่อง
ด้านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดตราด (สวท.ตราด) รายงานว่า หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงขอความร่วมมือให้ประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงบริเวณชายแดน 100% เนื่องจากคาดว่าจะมีการปะทะที่รุนแรงและขยายแนวรบเพิ่ม พร้อมย้ำว่า งดนำสิ่งของไปมอบในพื้นที่เสี่ยง และห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในพื้นที่เสี่ยงโดยเด็ดขาด เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาจับสัญญาณเพื่อใช้โจมตีได้
กห.แถลงพลเรือนดับ3-ทหาร9เจ็บ120
ด้านพลเรือตรีสุรสันต์ คงศิริโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ในส่วนกองทัพบก กัมพูชายังโจมตีต่อเนื่องด้วยอาวุธหนักเช่นบีเอ็ม 21 โดรน Kamikaze ปืนครก โดยเฉพาะบริเวณช่วงอานม้าและเนิน 667 ขณะที่กองทัพเรือดำเนินกลยุทธ์ตามยุทธการตราดตราดปราบปรปักษ์ในพื้นที่ จ. ตราดต่อเนื่อง และได้รับการโจมตีโดยโดรนฝั่งกัมพูชาต่อเนื่องเช่นกัน โดยทั้งสองเหล่าทัพดำเนินการไปตามแผนและมีความคืบหน้าในการปฏิบัติการ อย่างไรก็ตามพบทหารกัมพูชาที่ใช้บ้านประชาชนเป็นป้อมปราการทางทหาร ตรวจพบการติดตั้งปืนกลในบ้านพัก ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาต่างๆในการใช้มนุษย์เป็นโล่กำบัง ส่วนกองทัพอากาศยังปฏิบัติการสนับสนุนกำลังภาคพื้นดินในการรุกคืบอย่างมีประสิทธิภาพ
“แต่เป็นที่น่าเสียใจที่กำลังพลของเราสูญเสียอีก2รายในพื้นที่ของกองทัพภาคที่1 จำนวน 1 นาย และสูญเสียชีวิตอีก1รายในพื้นที่กองทัพภาคที่2โดยปัจจุบันมีกำลังพลสูญเสียไปแล้ว9นายและบาดเจ็บประมาณ 120 นาย“ โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ยังเปิดเผยภาพความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนที่ถูกโจมตีด้วยบีเอ็ม 21 รวมถึงถนนในจังหวัดตราด
กองทัพยังตอบไม่ได้จะจบเมื่อไหร่
ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก พลเรือตรี สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหมแถลงอีกครั้งว่า ปฏิบัติการทหารเป็นไปตามแผน ส่วนจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ยังตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยฝ่ายไทย มีปัจจัยภายนอกอื่นด้วยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น กองกําลังกัมพูชาและการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคนิคการโจมตีฝ่ายไทย ก็ต้องระวังเรื่องนี้ แต่พยายามใช้ข้อมูลข่าวสาร ข่าวกรองในการประเมินสถานการณ์ ยังไม่สามารถบอกห้วงเวลาได้ว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่
พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบกกล่าวเพิ่มเติมว่า การลดความสูญเสียมาตรการค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องการปฏิบัติของหน่วยในการระมัดระวัง สิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียนการใช้วิทยุ สื่อสาร การติดต่อ เพราะเขมรมีขีดความสามารถใช้การสํารวจตรวจเป้าหมายโจมตีไทย เราต้องปฏิบัติการต่อต้านปฏิบัติการตรงนั้นที่ผ่านมาถือว่าเราคืบหน้าและมีบทเรียนครั้งที่แล้ว และดําเนินการได้มีประสิทธิภาพ
3เหล่าทัพผนึกสกัดโดรนป้องกันกำลังพล
พ.อ.ริชฌากล่าวต่อว่า การต่อต้านโดรนพลีชีพ เป็นสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้แล้วเนื่องจากประสบการณ์ผ่านมา เราเตรียมการเรื่องของที่ตั้งของเรา เพราะเชื่อว่าเมื่อสู้รบกันขึ้นต้องถูกโจมตีอยู่แล้ว เรื่องมาตรการป้องกัน ขอให้เชื่อมั่นว่าทหารป้องกันเต็มที่ เพราะเราโดนโจมตีจำนวนมาก แต่บางครั้งในส่วนพื้นที่ที่เราถูกรุกล้ำอธิปไตยก็จำเป็นต้องเคลื่อนกำลังผลักดัน หมายความว่า ทหารต้องออกจากที่กำบัง และกัมพูชาอาศัยโอกาสตรงนั้น ซึ่งตามที่มีรายงานการสูญเสียเข้ามาเป็นระยะ เนื่องจากทหารพยายามปฏิบัติการผลักดันปกป้องอธิปไตยที่ถูกรุกล้ำและถูกโจมตีกลับเข้ามา ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีอยู่ และเราใช้ทุกมาตรการที่ทําให้กําลังคนของเราปลอดภัยที่สุดอย่างไรก็ตาม การดูแลทหารบาดเจ็บให้ได้รับการรักษาทันที ได้เตรียมหน่วยทหารสายแพทย์ ใช้อากาศยานกองทัพบกและส่วนต่างๆผนึกกําลัง เพื่อให้กําลังพลของเราได้รับการรักษาพยาบาลเร็วที่สุด
ทั้งนี้ขอความร่วมมือประชาชน ไม่โพสต์ แชร์ภาพ ที่สามารถระบุที่ตั้งทางทหารได้ ทั้งในส่วนกําลังพล สื่อมวลชน ประชาชน เนื่องจากส่งผลอันตรายต่อทหารที่ปฏิบัติงานได้ หากฝ่ายตรงข้ามได้นําภาพตรงนี้ไปดําเนินการไปต่อจิ๊กซอว์ จะรู้ว่าทหารไทยทําอะไรอยู่ และสิ่งนั้นจะเป็นอันตรายต่อประเทศไทย
ใช้อวนคุมฐานทหารป้องกันโดรนโจมตี
นาวาเอก นรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ (โฆษก ทร.)ระบุว่า สำหรับบ้านชําราด จ.ตราด ได้รับรายงานว่าเราถูกโจมตีโดยโดรนพลีชีพจากฝ่ายกัมพูชาพอสมควร ซึ่งมาตรการปฏิบัติการเหล่าทัพได้หารือเพื่อกําหนดแนวทางเป็นหลักนิยมการปฏิบัติการการต่อต้าน โดรนพลีชีพในลักษณะนี้ต่อเนื่อง ตั้งแต่การปะทะครั้งที่แล้ว กําลังพลของกองทัพเรือในพื้นที่ชายแดนได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในการให้อวน คุมฐานปฏิบัติการเพื่อป้องกันการโจมตี
พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ขี้แจงเพิ่มเติมว่า สำหรับมาตรการเชิงรุก เราดำเนินการพื้นที่ควบคุม ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมาย มีการพูดคุย 3 เหล่าทัพ สิ่งหนึ่งที่ทําได้ดีที่สุดป้องกันไม่ให้โดรนขึ้นได้เลย หรือลดขีดความสามารถใช้โดรนกามิกาเซ่โจมตีฐานที่ตั้งของไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราปฏิบัติต่อเนื่อง ตั้งแต่วันเริ่มต้นวันปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้เป็นการดําเนินการของกองทัพอากาศในการสนับสนุนทั้งกองกําลังสุรนารี กองกำลังบูรพา และกองกําลังป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด เราหารือกันและนําไปสู่การใช้กําลังทางอากาศ โจมตีเป้าหมายเหล่านั้นเป็นขั้นตอน ลดทอนปฎิบัติการของฝ่ายกัมพูชา สนับสนุนการผลักดันกองกําลังฝ่ายกัมพูชาออกจากพื้นที่มีหลากหลายแนวทาง หนึ่งในแนวทางก็คือตัดกําลังส่งบํารุง ให้กําลังทางบกของทหารไทย ทุกภาคส่วนสามารถผลักดันไปได้ตามขีดความสามารถ ตามแผนที่พูดคุยไว้ทั้ง 3เหล่าทัพ เนื่องจากทุกเป้าหมายถูกกําหนดและถูกเลือกใช้กําลังทางอากาศเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการของทั้งสองกองทัพ
3เหล่าทัพยันปฎิบัติการเข้มข้นบีบเขมรจำนน
ต่อมาเวลา 16.00 น. ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วม สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกมีการแถลงข่าวสรุปสถานการณ์ชายแดนไทยเขมรอีกครั้ง โดยพลเรือตรีสุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงภาพรวมการทหารทุกเหล่าทัพว่า ทั้งกองทัพอากาศ กองทัพบก และกองทัพเรือ ยังคงปฏิบัติภารกิจ ลิดรอนและป้องปรามขีดความสามารถของกัมพูชาต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ฝ่ายไทย หากปล่อยให้เป็นช่องโหว่ด้านความมั่นคง กองทัพบกยังคงตอบโต้การรุกคืบของกำลังฝ่ายตรงข้าม ขณะที่กองทัพเรือก็ปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อป้องกันภัยจากทิศทะเล เช่นเดียวกับกองทัพอากาศที่ให้การสนับสนุนทางอากาศในทุกยุทธบริเวณ
ข่าวกรองชี้ชัดเขมรใช้อาคารเป็นที่ตั้งทหาร
นาวาเอก นรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีตรวจพบกองกำลังกองบัญชาการองครักษ์ (BHQ)ในพื้นที่กองทัพเรือว่า สองวันที่ผ่านมากองทัพเรือย้ำหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับการดัดแปลงอาคารฝั่งกัมพูชาให้เป็นฐานที่ตั้งทางทหาร ซึ่งหน่วยข่าวกรองของไทยตรวจยืนยันได้ผ่านระบบโดรนตรวจการณ์ เพื่อชี้ชัดว่า เป้าหมายที่กองทัพเรือเข้าโจมตี เป็นการทำลายขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะ ทั้งนี้อาคารดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่กัมพูชา แต่มีพฤติการณ์เชิงยุทธศาสตร์ชัดเจนจำเป็นต้องถูกจำกัดความสามารถเพื่อป้องกันภัยต่อไทย
กร้าวใช้กำลังเข้มข้นจนกว่าเขมรเลิกคุกคาม
ด้านพลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศแถลงเพิ่มเติมว่า การใช้กำลังทางอากาศขณะนี้จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และเดินหน้าเป็นขั้นเป็นตอนตามสถานการณ์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกนาที กองทัพอากาศยืนยันดำเนินยุทธการทางอากาศ จนกว่าฝ่ายตรงข้ามจะยุติความพยายามเป็นภัยคุกคามต่อเอกราช ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนไทย พร้อมสนับสนุนกำลังทางบกและทางเรือในปฏิบัติการผลักดันกองกำลังกัมพูชาออกจากพื้นที่ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะทำให้ยุทธภารกิจทั้งหมดบรรลุผลตามเป้าหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี