วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในรอบนี้ เป็นการสู้รบจริง มีการปะทะ มีการยิง มีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิต พร้อมแรงกดดันจากต่างประเทศที่เข้ามาพร้อมกัน
15 ธันวาคม 2568 ในสถานการณ์แบบนี้ ประเทศต้องการความชัด ต้องการการตัดสินใจ และต้องการผู้นำที่รับผิดชอบกับคำสั่งของตัวเอง
จุดแข็งของ อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรี อยู่ตรงการยืนอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่เปลี่ยนท่าทีตามแรงกดดัน
และไม่ปล่อยให้ใครพูดแทนประเทศไทย
ตั้งแต่สถานการณ์เริ่มตึง อนุทินสื่อสารตรง ไม่อ้อม ไม่ใช้คำคลุมเครือ และไม่ปล่อยให้ต่างชาติอธิบายสถานการณ์ของไทยฝ่ายเดียว
ภาพใหญ่ของเรื่องนี้ คือการสู้รบตามแนวชายแดน การเผชิญหน้าทางทหารและความพยายามจากหลายฝ่ายให้สถานการณ์หยุดลง
ในช่วงนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีอนุทิน และผู้นำกัมพูชา
หลังการพูดคุย ทรัมป์โพสต์ผ่านช่องทางการสื่อสารของตนเอง กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์ เรียกร้องให้ ทั้งสองฝ่าย หยุดยิง และลดความตึงเครียดฃ
ในโพสต์เดียวกันนั้น ทรัมป์กล่าวถึงกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิด โดยอธิบายว่าเป็นอุบัติเหตุ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
ตรงจุดนี้จุดแข็งของ “อนุทิน” ปรากฏชัด
อนุทินออกมาตอบโต้ทันที ยืนยันว่าเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิด ไม่ใช่อุบัติเหตุไม่ใช่การโต้เถียง แต่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง และยืนยันจุดยืนของรัฐไทยต่อสายตานานาชาติ
พร้อมกันนั้น อนุทินย้ำชัดว่า ประเทศไทยจะยัง ปฏิบัติการทางทหารต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าไม่เหลือภัยคุกคามต่อประเทศและประชาชน
นี่คือจุดแข็งสำคัญ ไม่ปล่อยให้คำอธิบายจากภายนอก มากำหนดกรอบความจริงของประเทศไทย และไม่ยอมให้เรื่องความมั่นคง ถูกทำให้เบาลงด้วยถ้อยคำที่คลุมเครือ
แรงกดดันจากภายนอก ไม่ได้มีแค่สหรัฐฯอีกบทบาทที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง คือ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งกำลังจะหมดวาระในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจังหวะเวลานี้ ทำให้บทบาทของอันวาร์ ถูกจับตามองเป็นพิเศษ
อันวาร์แสดงท่าทีต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยสื่อสารว่าเป็นการขอให้ ทั้งสองประเทศ ลดความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงการยั่วยุแต่ในทางปฏิบัติ ท่วงทำนองของการสื่อสาร กลับดูเหมือนว่าแรงกดดันจำนวนมากพุ่งมาที่ฝั่งไทย
คำถามจึงเกิดขึ้นว่า บทบาทของประธานอาเซียนในช่วงใกล้หมดวาระ กำลังทำหน้าที่ตามกรอบอาเซียน หรือมีบริบทอื่นพัวพันอยู่ด้วย
โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่ผลประโยชน์ในภูมิภาค ทั้งเศรษฐกิจชายแดน และธุรกิจบ่อนคาสิโนในกัมพูชาที่หลายประเทศในอาเซียนมีส่วนเกี่ยวข้อง
แม้คำถามเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบแต่สิ่งที่ชัดคือ อนุทินไม่เอนตามแรงกดดันที่ไม่ชัดเจน และไม่ผูกมัดประเทศไทย กับคำขอที่ตีความได้หลายทาง
อนุทินออกมาพูดตรง ว่าไม่มีข้อความใดที่ระบุให้ไทยหยุดยิงและประเทศไทย ไม่ได้รับข้อเสนอหยุดยิงอย่างเป็นทางการจากฝ่ายใด
ท่าทีแบบนี้ ทำให้จุดยืนของไทยชัดไม่สับสน และไม่เปิดช่องให้ใครพูดแทนรัฐไทย
เมื่อหันกลับไปมองการเมืองไทย ความแตกต่างยิ่งเห็นชัด
รัฐบาลแพทองธาร คือรัฐบาลที่ถูกตั้งคำถามตั้งแต่ต้น ว่าใครเป็นคนตัดสินใจจริง และใครเป็นคนกำหนดทิศทางอยู่เบื้องหลัง
การมีทักษิณเป็นเงา ประกอบกับความสัมพันธ์กับผู้นำกัมพูชา และคลิปเสียงสนทนาที่เคยหลุดออกมา ทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ถูกตั้งคำถามตรง ๆ ในเรื่องท่าทีต่ออธิปไตยของประเทศ ในสถานการณ์ความมั่นคง รัฐบาลที่ไม่ชัดว่าใครเป็นคนตัดสินใจ และใครเป็นคนกำหนดทิศทางจริง คือความเสี่ยงทันที
ขณะเดียวกัน แนวคิดของกลุ่มการเมืองอย่าง ธนาธร-พิธา ที่ยืนอยู่บนอุดมคติทางการเมือง และมีท่าทีตรงข้ามกองทัพมาโดยตลอด ยิ่งสะท้อนความไม่พร้อมต่อสถานการณ์จริง
การตั้งคำถามกับบทบาททหาร การพูลดความจำเป็นของกองทัพ อาจใช้ได้ในเวทีการเมืองแต่เมื่อชายแดนมีการยิงจริง มีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตจริง แนวคิดแบบนี้ไม่ตอบโจทย์รัฐ
ปัญหาชายแดน ไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์แต่เป็นเรื่องการตัดสินใจทันที และต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ทันที
ทั้งหมดนี้ ทำให้ภาพของ อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรี ชัดขึ้นในช่วงเวลานี้ไม่ใช่จากคำพูด แต่จากการตัดสินใจในวันที่ประเทศถูกกดดัน และต้องยืนอยู่กับอธิปไตยของตัวเอง.
ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี