วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กองทัพไทยปักธงชาติโบกสะบัด
ยึดปราสาทตาควาย
ไล่ทุบเขมรออกพ้นพื้นที่
‘ทภ.2’คุมเข้ม‘ช่องเม็ก’
สกัดขนน้ำมันไปกัมพูชา
นายกฯนัดถกสมช.16ธ.ค.
เขมรรัวยิง BM-21 เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ตั้งแต่เช้า หวังจะยึดคืนปราสาทตาควาย-เนิน 350 ให้ได้ พบข้อมูลเสริมกำลังอีก 300 นาย ทางด้านทหารไทยบุกเข้ายึดปราสาทตาควายได้แล้ว ส่วนเนิน 350 และบริเวณโดยรอบยังอยู่ระหว่างปฏิบัติการ มทภ.2 สั่งคุมเข้มช่องเม็ก สกัดลอบส่งออกน้ำมันไปกัมพูชา นายกฯลาราชการ ออกรายการกรรมกรข่าว แจงปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา ก่อนเข้าทำเนียบฯเรียกเลขาฯสมช.ถก รับรายงานสายลับเขมร รอกองทัพตรวจสอบขีปณาวุธสัญชาติจีน จ่อส่งเที่ยวบินรับคนไทยหลายพันคนกลับมั่นใจไม่ถึงขั้นต้องประกาศกฎอัยการศึก เรียกประชุมสมช. 16 ธ.ค. เคาะมาตรการสกัดส่งยุทธภัณฑ์ ติดตามช่วยคนไทยออกจากกัมพูชา จับตาตรวจสอบสายลับ-อาวุธสัญชาติจีนในกองทัพเขมร
จากกรณีข้อพิพาทความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิตจำนวนมาก และบาดเจ็บอีกหลายสิบนาย เป็นวันที่ 8 โดยที่ทางฝั่งกัมพูชาเปิดฉากยิงโจมตีเข้ามาก่อนจนแนวปะทะขยายออกไปหลายจุดโดยที่ทางฝั่งทหารของกัมพูชา ยังคงทยอยเสริมกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้ามาอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังยึดครองพื้นที่
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 06.06 น. ทหารกัมพูชาเริ่มระดมยิงจรวด BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชายแดนด้านปราสาทตาควาย เนิน 350 แต่เช้า และเสียงปืนตอบโต้จากไทยก็เริ่มดังเป็นระยะ คาดว่าจะมีการยิงใส่กันตลอดทั้งวันเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา ในพื้นที่ปราสาทตาควาย เนิน 350 ช่องกร่างและปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน เกิดการสู้รบกันอย่างดุเดือด เนื่องจากกัมพูชาต้องการยึดปราสาทตาควายและเนิน 350 ที่เป็นจุดสูงข่ม
หลังจาก ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 14 ธ.ค. จนถึงช่วงค่ำ กัมพูชาได้ยิงระดมจรวด BM-21 เข้ามายังฝั่งไทย ลูกจรวดกระจายตกใส่บ้านเรือนราษฎร วัดและเรือกสวนไร่นาและป่าสวนยางในพื้นที่ตำบลบักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันเสียงปืนใหญ่จากฝั่งไทย ได้ยิงสวนกลับอย่างทันท่วงที เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเป็นชุดๆ เช่นกัน และเสียงปืนเริ่มเบาบางลงในเวลาประมาณ 22.00 น.
ตรวจตราเข้มงวดพื้นที่พนมดงรัก
ขณะเดียวกัน ฝ่ายปกครองอำเภอพนมดงรัก พร้อมด้วยทหาร ตำรวจ ได้นำอาหาร มีข้าวเหนียวหมูปิ้ง น้ำดื่ม และเวชภัณฑ์ยารักษาโรค มามอบให้กับผู้นำหมู่บ้านในพื้นที่ตำบลบักได พร้อมแจ้งว่าพื้นที่อำเภอพนมดงรัก ได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกแล้ว ให้ผู้นำชุมชนได้มีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ทั้งสอดส่องในเรื่องการลักขโมยทรัพย์สินซ้ำเติมชาวบ้าน รวมทั้งการให้ข่าวต่อสื่อมวลชนให้มีความระมัดระวังเป็นอย่างพิเศษ ระวังการเปิดเผยพิกัดจุดตั้งในพื้นที่ เมื่อพื้นที่ได้ประกาศเป็นเขตกฎอัยการศึก จึงขอให้ผู้นำชุมชนมีอำนาจในการดำเนินการตามกฎหมายได้อย่างเต็มที่ตามสถานการณ์ รวมทั้งห้ามประชาชนกลับเข้าพื้นที่ 100%
ขณะที่ตามจุดต่างๆ ที่ชุด ชรบ.ประจำการอยู่ ก็ได้มีการเฝ้าสังเกตการณ์และระมัดระวังตนเอง โดยการปิดไฟส่องสว่างให้เหลือน้อยที่สุด ป้องกันการตรวจจับของโดรนกัมพูชา และติดตามการแจ้งเตือนจากหน่วยงานต้นสังกัดอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของผู้นำชุมชนและ ชรบ.
เขมรเสริมกำลัง300นายที่ช่องจอม
ส่วนที่ชายแดนช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง เช้านี้ยังไม่มีเสียงปืนยิงเข้ามาในพื้นที่ แต่ยังคงประมาทไม่ได้ เนื่องจากพบข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊กของ “วาสนา นาน่วม” ที่ได้โพสต์ข้อความเมื่อช่วงเย็นวานนี้ ระบุว่า “ทัพ 2 เผย ทหารเขมรเสริม 300 นาย บุกจะยึดคืนช่องจอม-ช่องระยี-ปลดต่าง สุรินทร์ ยิงปืนเล็ก ค. เป็นห้วงๆ หลังไทยยึดได้” ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอีกครั้ง
มทภ.2 คุมเข้มช่องเม็กสกัดส่งน้ำมัน
ผู้สื่อข่าวรายงาน สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาค 2(มทภ.2) ได้ลงนามในหนังสือการควบคุมการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง และยุทธภัณฑ์ จุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก เริ่มตั้งแต่เวลา 24.00 น. (15 ธ.ค.) เป็นต้นไป
ตามคำสั่งกองทัพบก (เฉพาะ) ที่ 806/2568 เรื่องการควบคุม การเปิด - ปิดจุดผ่านแดน ทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ให้กองทัพภาคที่2 โดยกองกำลังสุรนารี มีอำนาจ การควบคุมการเปิด - ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภท ในพื้นที่รับผิดชอบ วิธีการและเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่จำเป็นเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
กองทัพภาคที่ 2 จึงกำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกฯ ณ จุดผ่านแดนถาวร ช่องเม็ก ตำบลช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยห้ามส่งออกเฉพาะสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด และยุทธภัณฑ์ต่างๆ สำหรับการดำเนินการอื่นๆ คงเดิม โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น.
พบอาจมีการลักลอบส่งน้ำมันไปกัมพูชา
โดย กองทัพภาคที่ 2 พบว่าอาจจะมีการลักลอบนำน้ำมัน เชื้อเพลิงผ่านไปทางจุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก สปป.ลาว เพื่อนำไปขายต่อให้กับทางกัมพูชา จึงประสานไปทางด่านตม.ลาว ของงดการส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เป็นสินค้าควบคุมและเป็นยุทธภัณฑ์ เป็นการชั่วคราว หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ 2 ยังตรวจพบการเคลื่อนย้ายกำลังทางทหารของกัมพูชาเข้ามาในพื้นที่ทางทิศใต้ของภูมะเขือ ,พระวิหาร, สัตตะโสม และภูผี อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทางกัมพูชายังคงยิ่งปืนใหญ่เข้ามายังฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเคลื่อนย้ายกำลังพลเข้ามาประชิดชายแดน โดยทางฝั่งเราได้ทำการยิงปืนใหญ่ ส่องสว่างและปืนใหญ่สวนกลับไปทันที เพื่อทำลายกำลังข้าศึกดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศบริเวณจุดผ่านแดนถาวร ช่องเม็ก ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ในช่วงเช้าวันที่ 15 ธ.ค. ยังมีรถบรรทุกน้ำมันจอดรอข้ามแดนกว่า 100 คัน
“ผบก.ตม.4”ลงพื้นที่ด่านช่องเม็ก
พล.ต.ต.ไพรัช พุกเจริญ ผบก.ตม.4 พร้อมด้วย พ.ต.อ.สำราญ กลั่นมา ผกก.ตม.จว.อุบลราชธานี , พ.ต.ท.สมพัฒน์ อุ่นคำ รอง ผกก ตม.จว.อุบลราชธานี และหน่วยงานด้านความมั่นคง , ศุลกากร , กอ.รมน. และเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) ลงพื้นที่จุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี
พล.ต.ต.ไพรัช ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ ตม. จุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก ทำการสกัดกั้นรถน้ำมัน ไม่ให้ออกนอกราชอาณาจักร เพื่อรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การสู้รบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังมีตรวจสอบพบว่ามีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านช่องเม็กในปริมาณที่มากผิดปกติ ทาง พล.ต.ต.ไพรัช จึงกำชับการปฏิบัติ เพื่อป้องกันการส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชา
ผบก.ตม.4 ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวของ ตม.อุบลราชธานี บก.ตม.4 เป็นไปตามคำสั่งของแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ให้ควบคุมการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภท รวมถึงยุทโธปกรณ์และสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก โดยให้งดการส่งออกเฉพาะสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดและยุทโธปกรณ์ต่างๆ คำสั่งดังกล่าวมีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น.ของวันที่ 14 ธ.ค.68 และให้บังคับใช้ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
ขอความร่วมมือ“งดไลน์-โพสต์-แชร์”
กองทัพภาคที่ 2 แชร์ภาพขอความร่วมมือ โดยในภาพระบุข้อความว่า “งดไลน์ งดโพสต์ งดแชร์ ไม่ต้องรีบแจ้งลงสื่อ การปฎิบัติการทหารยังไม่จบ การบอกลักษณะพื้นที่เฉพาะเจาะจง/พื้นที่จำกัด ยิ่งสร้างอันตรายให้กับผู้ปฎิบัติงานในพื้นที่”โดยระบุข้อความว่า งดไลน์ งดโพสต์ งดแชร์ “การปฏิบัติทางทหารยังไม่จบ อันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน”
นายกฯ ให้สัมภาษณ์กรรมกรข่าว
เมื่อเวลา 11.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย แจ้งลาราชการ โดยในช่วงเช้า ได้เดินทางมาที่สถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 เพื่อให้สัมภาษณ์ในรายการ “กรรมกรข่าวคุยข่าวนอกจอ” อัพเดทสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา การแก้ปัญหา อาชญากรรมข้ามชาติ หรือ แก๊งสแกมเมอร์ รวมไปถึงประเด็นทางการเมือง หลังจากประกาศยุบสภา
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ เปิดเผยว่า วันนี้ตนเองได้เชิญนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ เลขา สมช. เข้าพบหารือ เนื่องจากยังมีวาระที่ต้องหารือในหลายเรื่อง ทั้งกรณีการเสนอการสกัดกั้นการส่งยุทธปัจจัยทางทะเล เรื่องการตรวจยึดระบบขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถียุคที่ 5 รุ่น GAM - 102 LR สัญชาติจีน ที่บริเวณเนิน 500 วานนี้ รวมถึงสายลับและทหารรับจ้างของฝ่ายกัมพูชา ที่แทรกซึมเข้ามาในไทย ซึ่งเรื่องนี้ก็ให้ติดตาม และเฝ้าระวังพื้นที่อยู่แล้ว
จ่อส่งเครื่องบินรับคนไทยกลับ
ส่วนการช่วยเหลือคนไทยที่ต้องการเดินทางกลับประเทศโดยเครื่องบิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราพร้อมดำเนินการทุกการช่วยเหลือ แต่ยังไม่ได้พูดคุยรายละเอียดกับกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งในส่วนของการทำงานปกติ ก็ทำงานอยู่ ไม่ต้องมาขออนุมัติกับนายกรัฐมนตรี พร้อมย้ำว่า เรื่องการให้ความสะดวก และความปลอดภัยกับคนไทยทุกหน่วยงานสามารถทำได้เลย พร้อมยอมรับว่า ที่จะเหมาเครื่องบินพาณิชย์ไปรับ ถ้าอะไรที่ทำให้คนไทยได้รับความสะดวก พร้อมทำหมด โดยขณะนี้ ได้รับรายงาน ว่า มีคนไทยติดค้างอยู่หลายพันคน ก็จะดำเนินการเต็มที่
ไม่ถึงขั้นประกาศกฏอัยการศึก
เมื่อถามว่าขณะนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะขยายพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่คิดว่าคงไม่ถึงจุดนั้น นายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้ตอบคำถามที่บอกว่า สถานการณ์จะจบก่อนการเลือกตั้ง รวมถึง กรณีที่มีการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ว่า การเปิดตัว สส. ยังไม่เหมาะสม เนื่องจากยังมีสถานการณ์ชายแดนอยู่
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประชุม เรื่องความมั่นคงและรับรายงานในประเด็นต่างๆ
เรียกประชุมสมช. 16 ธ.ค.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยภายหลังการเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที ว่า เป็นการหารือเพื่อเตรียมการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งวาระการประชุมจะมีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา อาทิ การขอสกัดกั้นและควบคุมยุทธปัจจัยและยุทธภัณฑ์ต่างๆ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอมาเป็นเรื่องหลัก รวมถึงจะหารือเรื่องการช่วยเหลือคนไทยที่ต้องการเดินทางออกจากกัมพูชาด้วย
เมื่อถามถึงเรื่องสายลับและยุทโธปกรณ์สัญชาติจีนที่กองทัพไทยยึดได้จากฝ่ายกัมพูชา รวมถึงการประกาศขยายพื้นที่ใช้กฎอัยการศึก และการประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่อื่นๆ นายฉัตรชัย กล่าวว่า ขอให้รอการประชุมในวันพรุ่งนี้ (16 ธ.ค.)
เตรียมหารือระงับส่งน้ำมันไปกัมพูชา
วันเดียวกัน เวลา 10.00 น.ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วม สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก นาวาเอกนรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงว่า ทั้งหมดที่ว่านี้เป็นเพียงข้อเสนอ ปัจจุบันยังไม่มีการประกาศออกมา ซึ่งจะหารือในสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช. ) วันที่ 16 ธ.ค.นี้ พิจารณาใน 3 ประเด็นคือ
1.ขอให้สภาความมั่นคงแห่งชาติมีมติระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้ายุทธปัจจัยสำคัญไปยังกัมพูชา น้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้ายุทธปัจจัยสำคัญไปยังกัมพูชา
2.ให้หน่วยงาน ศรชล. บูรณาการกลไกควบคุมเฝ้าระวังเรือที่มีพฤติกรรมลําเลียงน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้ายุทธปัจจัยสําคัญไปยังกัมพูชา
3.ให้ ศรชล. ออกประกาศพื้นที่บริเวณทะเลอาณาเขต รอบท่าเรือกัมพูชาเป็นพื้นที่มีความเสี่ยงภัยสูง เนื่องจากกองทัพกัมพูชามีการใช้อาวุธโดยไม่ระบุเป้าหมาย ยิงไม่มีทิศทาง ทําให้เรือที่สัญจรไปมาที่อยู่ในระยะการยิงมีความเสี่ยงสูง จึงให้ออกประกาศแจ้งเตือน และย้ำว่าจะไม่มีคําว่าปิดน่านน้ำ
ขอให้งดออกเรือประมงพื้นที่ตราด
นอกจากนี้ กองทัพเรือภาคที่ 1 ออกประกาศเพื่อขอความร่วมมืองดออกเรือทำการประมงในพื้นที่ทางทะเลจังหวัดตราดเป็นการชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณด้านทิศใต้ของเกาะช้าง รอบเกาะกูด ตรงข้ามเกาะยอ และ อ.คลองใหญ่ และมีการประกาศเคอร์ฟิวช่วง 1 ทุ่ม-ตี 5 ในพื้นที่ จ.ตราด ยกเว้น อ.เกาtช้าง และเกาะกูด ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (14 ธ.ค.) เป็นต้นไป เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่และป้องกันสายลับที่เข้ามาแทรกซึมในพื้นที่
เขมรแฝงตัวโจมตีสถานที่สำคัญ
กรณีมีฝ่ายกัมพูชาแฝงตัวเข้ามาโจมตีกองบังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราดนั้น พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นความจริง มีคนของฝ่ายกัมพูชาแทรกซึมมาในพื้นที่ จ.ตราด และพยายามก่อวินาศกรรมต่อสถานที่สำคัญทางทหารและราชการ เพื่อสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน ขณะนี้กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้มีมาตรการด้านความมั่นคงอย่างเข้มงวดและรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะดังกล่าวขึ้นซ้ำอีก
โดยได้มีการประกาศใช้มาตรการห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนดในบางพื้นที่ จัดตั้งด่านตรวจและด่านความมั่นคงในจุดสำคัญ เพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยของที่ตั้งทางทหารและพื้นที่โดยรอบ
ทร.ยันมุ่งเป้าโจมตีฐานปืนเท่านั้น
พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ระบุถึงสถานการณ์ชายแดนพื้นที่เกาะกง กรณีมีประเด็นประชาชนในจังหวัดตราดไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังทางเรือต่อเป้าหมายฐานปืน 4 ฐานบนเกาะยอ และกล่าวหาว่าไม่ได้ยินเสียงปืนจากเกาะยอว่า อาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยกองทัพเรือได้ประเมินว่าฐานปืนดังกล่าวเป็นภัยคุกคามที่ใกล้ถึงตัว ทั้งทหารและประชาชน
นอกจากนี้ ยังมีข่าวกรองระบุว่า อาจจะมีการปฏิบัติการทางทหารจากฝ่ายตรงข้าม โดยพบว่าเมื่อเริ่มปฏิบัติการมีการตอบโต้มาจากฝ่ายตรงข้ามในหลายทิศทาง และหลายรูปแบบ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นภัยคุกคามจริง ส่วนการปฏิบัติการของกองทัพเรือพยายามจำกัดความเสียหายต่อพลเรือนชาวกัมพูชา โดยมุ่งเป้าไปที่ฐานปืนเท่านั้น
ปิดน่านน้ำ ใช้ในสงครามขนาดใหญ่
น.อ.นรา คุณโฐถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ แถลงว่า การประกาศจำกัดกัดอาณาเขต อ่าวไทย และ พื้นที่เสี่ยงภันระดับสูง สกัด น้ำมัน ยุทธปัจจัย ลำเลียงเข้ากัมพูชาว่าการประกาศพื้นที่เสี่ยงภัยสูง เนื่องจากฝ่ายกัมพูชามีการใช้อาวุธต่อเป้าหมายโดยไม่เลือกฝ่าย และมีความเสี่ยงที่เรือทีาเข้าไปในพื้นที่อาจถูกโจมตีจากทหารกัมพูชา จึงเสนอให้ออกประกาศ เน้นเฉพาะเรือสัญชาติไทย พื้นที่เสี่ยงภัยสูงไม่ใช่การบล็อกเขตหรือการปิดอ่าว ในกรณีนั้นต้องเป็นในภาวะสงครามขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง คือ ห้ามเข้าออกเรือทุกชนิดทุกประเภทของทุกชาติในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งแน่นอนการประกาศปิดอ่าว จะกระทบเรือของชาติอื่น ซึ่งในการปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความขัดแย้งสองรัฐ คือไทย-กัมพูชา การปฏิบัติการของเราจะต้องไม่กระทบประเทศที่ 3 ขอเน้นย้ําให้หลีกเลี่ยงใช้คําว่าปิดอ่าวหรือบล็อกเขต ให้ใช้คำว่า พื้นที่เสี่ยงภัยสูงซึ่งจะบังคับใช้กับเรือสัญชาติไทยเท่านั้น
ทบ.ย้ำยึดหลักมนุษยธรรม
ด้าน พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวเสริมว่ายืนยันว่า มีการนำเข้าน้ำมัน ยุทธปัจจัยให้กัมพูชา จึงนํามาสู่การดําเนินการควบคุม แต่ในรายละเอียดจะมาจากช่องไหน อย่างไรนั้น ไม่สามารถบอกได้ แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องทํา ขอทำความเข้าใจในการสู้รบ เราเน้นย้ําและได้เรียนกับประชาชน และ ต่างประเทศว่า เรายึดหลักมนุษยธรรม จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา มีการสูญเสียทั้งสองฝ่ายรวมถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ดังนั้นต้องทำให้การสู้รบจบเร็ว ลดความเดือดร้อนในทุกวิถีทาง แต่สาเหตุที่การสู้รบยืดเยื้อเกิดจาก ยุทธปัจจัย หากไม่ถูกถูกตัดรอน ไม่ว่าจะมาจากภายในหรือภายนอก ต้องยอมรับว่าว่าสิ่งที่เราทําได้ช่องทางจุดผ่านแดนในส่วนของประเทศไทย เราทําในขอบเขตอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะกระทําได้ อะไรที่อยู่นอกขอบเขตที่จะดึงประเทศที่3ก็ไม่ใช่สิ่งที่ประเทศไทยจะทํา เพราะความขัดแย้งเป็นในส่วนรัฐบาลไทยกับกัมพูชาเท่านั้น
ตัดเส้นทางกําลังบํารุง ทำได้หลายวิธี
ด้าน พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวต่อว่า การตัดเส้นทางกําลังบํารุง ทำได้หลายวิธี เพื่อไม่ให้ส่งจากส่วนหลังไปสู่แนวหน้า ที่ผ่านมากองทัพอากาศ ทํางานร่วมกับ กองทัพบก กองทัพเรือ ในการโจมตีเส้นทางส่งกําลังบํารุง เช่นการโจมตีสะพาน เพื่อลดประสิทธิภาพในการส่งกําลังบํารุงเป็นสิ่งที่เราทําต่อเนื่อง ถือเป็นหนทางหนึ่ง เพื่อให้การสู้รบและข้อขัดแย้งยุติโดยเร็ว ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน แม้ควบคุมได้ไม่ทั้งหมด แต่ควบคุมในสิ่งที่เราควบคุมได้และลดทอนประสิทธิภาพการส่งกําลังบํารุงไปส่วนหน้าก็ส่งผลต่อการปฏิบัติเช่นเดียวกัน
สกัดลําเลียงยุทธปัจจัย น้ำมัน
พลเรือตรีสุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวสรุปว่าหากเราสามารถพิสูจน์ทราบได้ว่ามีการลําเลียงยุทธปัจจัย น้ำมัน มาจากช่องทางอื่นหรือจากประเทศที่3 คงต้องมีการประสานระหว่างกระทรวงในเรื่องการดําเนินการ ประสานงานซึ่งเป็นไปตามอํานาจหน้าที่ของแต่ละกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ คมนาคม ต้องพูดคุยกัน เชื่อมั่นว่าทางรัฐบาลไทยมีความพร้อมในทุกกระทรวงก็เช่นเดียวกัน ในเรื่องการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติการต่าง ๆ
สกมช.ยัน มีระบบป้องกันไซเบอร์ถูกโจมตี
พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการ คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ(เลขา สกมช.)กล่าวให้ความเชื่อมั่นเรื่องระบบไซเบอร์ภายหลังมีความพยายามโจมตี ว่า เรามีการการเฝ้าระวัง ตั้งแต่ที่มีความเสี่ยงว่าจะมีการปะทะในเดือน มิ.ย. และไม่ได้ทํางานลําพังมีการประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ป้องกันเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ แก้ไขสถานการณ์ สิ่งที่เรามุ่งหวังคือการให้บริการประชาชนต้องไม่สะดุด แม้จะมีความพยายามในรูปแบบใดก็ตาม จะมีการแจ้งเตือนภัยภายใน 5 นาที หากมีเหตุมีแนวโน้มที่จะสร้างปัญหา เฝ้าระวังไม่ให้เหตุการณ์บานปลายและ ส่งผลกระทบต่อประชาชน
กัมพูชาล็อกเป้าโจมตีกันทรลักษ์
พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ปัจจุบันเราพบว่าทางทหารกัมพูชามีการโจมตีเข้ามาพื้นที่พลเรือนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ทําให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จนต้องออก ประกาศห้ามประชาชนที่ไม่มีความจําเป็นเข้าพื้นที่เด็ดขาด จะอนุญาตเฉพาะชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.)ที่ต้องดูแลพื้นที่ เป็นเรื่องสําคัญที่ต้องแจ้งเตือน จากการพิสูจน์ทราบ ไม่มีแนวโน้มกัมพูชาจะหยุดใช้ยุทธวิธีนี้เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ดังนั้นขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอ.กันทรลักษ์ ที่พบการโจมตีเข้ามาบ่อยครั้ง ขอให้ทําตามคําแนะนําของส่วนราชการ
สําหรับภาพรวมปฏิบัติการทางทหาร พื้นที่กองทัพภาคที่ 1และพื้นที่กองทัพภาคที่2 พื้นที่ที่มีการควบคุมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เราสามารถยึดรักษาพื้นที่นั้นไว้ได้ ที่สําคัญฝ่ายกัมพูชาพยายามโจมตีเข้ามาในพื้นที่ที่เราควบคุมได้แล้วอย่างหนักหน่วง อาวุธที่ใช้ BM-21 โดรนพลีชีพ ยังคงปฏิบัติต่อเนื่องและหมายรวมถึงพื้นที่ที่เราพยายามสถาปนาแนวเขตแดนไทย ที่ยังยึดคืนไม่ได้ทั้งพื้นที่กองทัพภาคที่1และกองทัพภาคที่2ก็ถูกโจมตีอย่างหนักเช่นกัน
ทหารกัมพูชาดับ505นาย
สำหรับประมาณการสูญเสียของกัมพูชา ฐานที่มั่น/ฐาน ปฏิบัติการต่างๆ ที่ตั้งทางทหาร อาวุธยิง บก.ควบคุมและจุดปฏิบัติการที่ตั้งอาวุธต่างๆ ทําลายประมาณ 82 แห่ง , BM-21 จำนวน 1ระบบ ,รถถัง 12คัน ,ยานรบต่างๆ รวมถึงยานเกราะ 10 คัน ,ปืนใหญ่ต่อสู้ อากาศยาน(ปตอ. )4 ระบบ ,ปืนใหญ่ เครื่องยิงลูกระเบิด 7กระบอก ,แอนตี้โดน 5 จุด ,โดรน 175 ลำ ,เสาสื่อสาร5 จุด และทหารกัมพูชา เสียชีวิต 505 นาย
กองทัพบก ยืนยันว่า การปฏิบัติการเราถูกรุกล้ําอธิปไตยและถูกโจมตีเข้ามาก่อน ดังนั้นความมุ่งหมายหลักของกองทัพบก เราจะมุ่งมั่น สถาปนาแนวเขตแดนไทยที่ถูกรุกล้ําให้กลับคืนมาให้ได้ เราจะมุ่งมั่นทําลายขีดความสามารถของทหารกัมพูชาที่เป็นภัยคุกคามต่อกําลังพลและประชาชนคนไทยให้หมดสิ้นไป
ขออภัยทำให้สสป.ลาวเดือดร้อน
พลเรือตรี สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่กองทัพภาคที่สองได้ออกคําสั่งควบคุมการส่งออกน้ํามันเชื้อเพลิงและยุทธภัณฑ์ สองจุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก ตำบลช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ติดกับ สปป.ลาว โดยเหตุผลหลัก มีการนําน้ํามันและยุทธภัณฑ์ต่างๆ ส่งต่อไปให้กัมพูชา นํามาใช้ในการสู้รบ ไทยไม่มีเจตนาสร้างผลกระทบให้เพื่อนบ้าน สปป.ลาว เราทราบดีว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นระหว่าง2ประเทศเท่านั้น ประเทศอื่นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แต่อย่างใดขออภัยพี่น้องชาวลาวที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ และจะดําเนินมาตรการนี้ให้รวดเร็วให้มีผลกระทบน้อยที่สุดต่อประชาชนชาวลาว
“ระบอบฮุนเซน”ต้นเหตุความขัดแย้ง
พลเรือตรีสุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ย้ำถึงจุดยืนของประเทศไทยต่อสถานการณ์ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยเน้นในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยของชาติ ภายใต้หลักมนุษยธรรม และฝ่ายไทยไม่ใช่ผู้เริ่มความขัดแย้ง แต่เป็นระบอบของฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และรัฐบาลกัมพูชา ที่เป็นผู้ริเริ่มความขัดแย้งดังกล่าว พร้อมยืนยันไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างประชาชน
นอกจากนี้ ประเทศไทย ยังยึดมั่น หลีกเลี่ยงการโจมตีเป้าหมายพลเรือน รวมถึงจุดยืนโจมตีเฉพาะจุดที่เป็นภัยคุกคามทางทหารเท่านั้น ขณะที่การอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เกิดจากการจัดสินใจที่ล่าช้าของกัมพูชาเอง โดยกัมพูชาทิ้งประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย อพยพล่าช้า ทําให้เกิดความโกลาหล ฝ่ายไทยยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม ในเรื่องการปฏิบัติเป็นไปตามหลักสากล การมุ่งสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ต้องมีการความปลอดภัยสงบสุขตามพื้นที่ชายแดนและจํากัดขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามไม่ให้รุกรานประเทศไทยได้อีกต่อไป
สำหรับปัจจุบัน สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเป็นพลวัต อย่างต่อเนื่อง นํามาซึ่งการสรุปประเด็นสําคัญ การปฏิบัติการของไทยเพื่อความมั่นคงและมนุษยธรรมที่เราเน้นในห้วงนี้ เพื่อประชาชนเพื่อมนุษยธรรม การดําเนินการของไทยอยู่ภายใต้การระงับ ชั่งใจใช้อาวุธแม่นยํา มุ่งลดภัยคุกคามทางทหาร หลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนเป็นสําคัญ โจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยประเทศไทยยังคงใช้ความระมัดระวังสูงสุด ยึดหลักความได้สัดส่วน ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยมุ่งหมาย ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและพลเรือนทุกฝ่ายเป็นสำคัญ
ทหารไทยยึดปราสาทตาควายสำเร็จ
เมื่อเวลา 11.56 น. เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force ได้เผยแพร่วิดีโอคลิปปราสาทตาควายที่ทหารไทยยึดได้แล้ว พร้อมระบุข้อความว่า “ด่วน!! ทหารไทยยึดคืนปราสาทตาควายสำเร็จแล้ว พร้อมอัญเชิญธงชาติไทยขึ้นเหนือตาควาย เป้าหมายต่อไปยึดเนิน 350”
ต่อมาเวลา 12.26 น. เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force ได้โพสต์ภาพทหารไทยที่ปราสาทตาควาย พร้อมข้อความว่า “ทหารไทยยึดคืนปราสาทตาควายได้สำเร็จแล้วครับ”
โฆษกทบ.ชี้ยังต้องระมัดระวังสูง
เวลา 12.30 น. พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยว่า ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 เกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบว่า ปัจจุบันสามารถผลักดันทหารกัมพูชาออกจากบริเวณพื้นที่“ตัวปราสาทตาควาย” และเข้าควบคุมพื้นที่ได้แล้ว ขณะที่ที่หมายสำคัญโดยรอบ โดยเฉพาะเนิน 350 และพื้นที่สูงข่มในบริเวณใกล้เคียง ยังคงอยู่ระหว่างการปฏิบัติการเข้าควบคุมพื้นที่ตามแผนดำเนินกลยุทธ์
โฆษกกองทัพบกยังกล่าวว่าอย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชาได้ตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธทุกชนิดระดมโจมตีพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งทำลายกำลังฝ่ายไทยและพยายามช่วงชิงพื้นที่คืน ทำให้สถานการณ์ยังไม่อาจวางใจได้ และยังต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการปฏิบัติการ
ทั้งนี้ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ติดตามการปฏิบัติการสำคัญในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้หน่วยที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการด้วยความรอบคอบ เพื่อป้องกันลดการบาดเจ็บและความสูญเสียของกำลังพลให้ได้อย่างดีที่สุด
ทภ.2สรุป7วันถล่มที่มั่นเขมร54แห่ง
กองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์สู้รบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 8-14 ธ.ค.2568 ใน 17 พื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค.-14 ธ.ค.2568 ไทยได้ทำลายฐานปฏิบัติการทางทหาร คลังน้ำมัน/กระสุน และอื่น ๆ บก.ควบคุม 11 ที่, ฐานทหาร 14 ที่, อาคารที่พัก 5 ที่, หลุมเครื่องยิงลูกระเบิด 6 หลุม, ฐานที่ตั้งปืนใหญ่ 2 ที่, คลังกระสุน 3 ที่, คลังน้ำมัน 1 ที่, ฐานที่ตั้งสแกมเมอร์/ฐานจุดปล่อยโดรนโจมตีทางทหาร 2 ที่ และบังเกอร์ 10 ที่ รวม 54 ที่ ทำลายรถถัง 12 คัน, โดรน 171 ลำ, BM-21 1 คัน, เสาแอนตี้โดรน 4 ต้น, ปืนต่อสู้อากาศยาน 4 กระบอก, ระบบควบคุมแอนตี้โดรน 1 ชุด, รถบรรทุก 7 คัน, เสาสัญญาณ 1 ต้น, ปืนใหญ่ 1 กระบอก, ปืนครก 6 กระบอก และทหารกัมพูชาเสียชีวิต 205 นาย
กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการปกป้องอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถ พร้อมขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข้อมูลจากทางราชการ และเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี