สุทธิชัยvsอนุทิน บทพิสูจน์สื่อ-นายกฯ บนความเสี่ยงของประเทศ!

สุทธิชัยvsอนุทิน บทพิสูจน์สื่อ-นายกฯ บนความเสี่ยงของประเทศ!

วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 11.46 น.

ถ้ามองผิวเผิน เรื่องนี้อาจถูกมองว่าเป็นการตั้งคำถามตามปกติของสื่อ

แต่เมื่อพิจารณาให้รอบด้าน โดยเฉพาะในบริบทของสถานการณ์ระหว่างประเทศที่กำลังตึงเครียด คำถามนั้นกลับไม่ใช่คำถามเล็ก ๆ และไม่ใช่เรื่องที่ควรถูกสรุปแบบรีบเร่งผ่านโพสต์


เพราะคำถามดังกล่าวไม่ได้ตั้งอยู่บนข้อมูลจากแหล่งเดียวกัน แต่เป็นการนำคำให้สัมภาษณ์ของผู้นำสหรัฐผ่านสื่อต่างประเทศ มาทาบกับการสื่อสารของนายกรัฐมนตรีไทยที่เกิดขึ้นจากการพูดคุยโดยตรงในระดับผู้นำประเทศ

 

 

สุทธิชัย หยุ่น เลือกหยิบคำให้สัมภาษณ์ของโดนัลด์ ทรัมป์ กับ Wall Street Journal ที่ระบุถึงการใช้มาตรการทางภาษีเป็นแรงกดดันให้ไทยและกัมพูชายุติการสู้รบ

ก่อนตั้งคำถามต่อสาธารณะว่า เหตุใดอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งเพิ่งคุยกับทรัมป์ในคืนก่อนหน้า จึงไม่ได้บอกประชาชนในทำนองเดียวกัน แต่กลับพูดถึง “สัญญาณบวก” ในการกลับไปเจรจาภาษีกับ USTR

คำถามที่ตามมาคือ ใครพูดไม่ชัด หรือใครฟังคลาดเคลื่อน

คำถามนี้ หากเป็นการพูดคุยในวงสนทนา อาจจบลงแค่ความเห็นต่าง

แต่เมื่อมันถูกโพสต์ออกมาในฐานะความเห็นของสื่ออาวุโส ที่สังคมให้ความเชื่อถือ ผลกระทบของมันย่อมไม่ธรรมดา

สิ่งที่ต้องแยกให้ออกตั้งแต่ต้น คือ เวทีที่ทรัมป์พูดกับ Wall Street Journal กับเวทีที่ทรัมป์คุยกับผู้นำรัฐบาลไทย ไม่ใช่เวทีเดียวกัน และไม่ควรถูกปฏิบัติราวกับมีน้ำหนักเท่ากัน

การให้สัมภาษณ์กับสื่ออเมริกัน เป็นการสื่อสารต่อสาธารณชนของประเทศเขา มีทั้งบริบทการเมืองภายใน แรงกดดันจากสภา จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และจากภาพลักษณ์ผู้นำโลก

ขณะที่การคุยโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีไทย เป็นการสื่อสารในระดับรัฐต่อรัฐ เพื่อจัดการความสัมพันธ์ ผลประโยชน์ และท่าทีระหว่างประเทศ

ผู้นำโลกคนเดียวกัน สามารถพูดเรื่องเดียวกันด้วยน้ำหนักที่ต่างกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องหมายความว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโกหกหรือพูดไม่ตรง นี่คือพื้นฐานของการเมืองระหว่างประเทศ ที่คนทำข่าวอาชีพย่อมเข้าใจดี

ดังนั้น การนำคำให้สัมภาษณ์จากสื่อมวลชนต่างประเทศ มาใช้เป็นฐานตั้งคำถามต่อการสื่อสารของรัฐบาลไทย โดยไม่ตรวจสอบกับแหล่งตรงก่อน จึงเป็นสิ่งที่ควรถูกตั้งคำถามกลับ

ยิ่งเมื่อผู้ตั้งคำถาม คือสุทธิชัย หยุ่น

สื่ออาวุโสที่อยู่ในวงการมานาน

เป็นคนที่มีช่องทางติดต่อผู้นำรัฐบาลโดยตรง และเคยใช้ช่องทางนั้นในการตรวจสอบข้อมูลมาแล้วหลายครั้งในอดีต

การเลือก “โพสต์ตั้งคำถาม” แทนการ “ยกหูถาม” จึงไม่ใช่แค่เรื่องรูปแบบ

แต่เป็นเรื่องมาตรฐานการทำงาน

ไม่ใช่เพราะสื่อไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถาม

แต่เพราะสื่อระดับนี้ มีหน้าที่ต้องทำให้ข้อมูลครบ ก่อนโยนคำถามสู่สาธารณะ

โดยเฉพาะในประเด็นที่แตะเรื่องอธิปไตย ความมั่นคง และท่าทีของประเทศในเวทีโลก

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งชัด คือการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีไทย

 

 

อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ได้ปล่อยให้ข้อสงสัยลอยค้างอยู่ในสังคม ไม่ได้สั่งโฆษกออกมาแก้ ไม่ได้เลือกความเงียบเพื่อหลีกเลี่ยงแรงปะทะ

แต่เลือก “เข้าไปคอมเมนต์ชี้แจงด้วยตัวเอง” ในโพสต์ของสุทธิชัย หยุ่น บน Facebook

การกระทำนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่เรื่องที่ผู้นำรัฐบาลต้องทำเป็นประจำ แต่สะท้อนว่า นายกรัฐมนตรีมองว่าความคลาดเคลื่อนของข้อมูลครั้งนี้ กำลังขยายผลเกินกว่าที่ควรจะปล่อยผ่าน

ในคอมเมนต์นั้น อนุทินอธิบายอย่างตรงไปตรงมา ว่าในการพูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐ เขาไม่ได้อยู่คนเดียว

มีผู้ร่วมรับฟังหลายคน มีทีมงานที่ร่วมสรุปสาระ และมีการเตรียมข้อความสำหรับการแถลงข่าวล่วงหน้า ก่อนออกมาสื่อสารกับสาธารณชน

นายกฯอนุทินย้ำว่า ไม่มีการปิดบัง ไม่มีความคลาดเคลื่อน และไม่มีการพูดสดแบบฉับพลัน พร้อมชี้ให้เห็นว่า หากมีข้อสงสัย สุทธิชัยสามารถติดต่อสอบถามเขาได้โดยตรง เหมือนที่เคยทำมาในอดีต

ที่สำคัญกว่านั้น คือประโยคที่สะท้อนน้ำหนักของสถานการณ์ เมื่ออนุทินระบุชัดว่า การสื่อสารข้อมูลที่ผิดพลาด อาจทำให้ประเทศเสียหาย และเรื่องการปกป้องอธิปไตย จำเป็นต้องได้รับความเข้าใจและการสนับสนุนจากประชาชน

สิ่งที่อนุทินพยายามสื่อ คือเรื่องนี้ไม่ควรถูกตัดสินจากการอ้างสื่อต่างประเทศเพียงด้านเดียว โดยไม่สอบถามข้อมูลจากผู้ที่อยู่ในวงเจรจาโดยตรง

หลังจากนั้น กระแสในโซเชียลมีเดียก็สะท้อนภาพที่ชัดขึ้น คอมเมนต์ของอนุทินถูกนำไปแชร์ต่ออย่างกว้างขวางในหลายแพลตฟอร์ม พร้อมเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่มองว่า นายกรัฐมนตรีทำในสิ่งที่ควรทำ คือออกมารับผิดชอบต่อข้อมูล

ขณะเดียวกัน เสียงวิจารณ์ต่อสุทธิชัย หยุ่น ก็เกิดขึ้นตามมา ไม่ใช่ในฐานะศัตรูของสื่อ แต่ในฐานะความคาดหวังต่อสื่ออาวุโส ว่าควรใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่ให้รอบคอบกว่านี้

ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันจากภายนอก สิ่งที่สังคมต้องการ ไม่ใช่คำถามที่เร็ว แต่คือข้อมูลที่แม่น

และเมื่อผู้นำประเทศพูดจากวงเจรจาโดยตรง การอ้างข่าวนอกโดยไม่ตรวจสอบกับแหล่งตรงก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ควรถูกทักท้วง

ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใคร แต่เพื่อไม่ให้ประเทศต้องเสียหายจากความคลาดเคลื่อนที่ควรป้องกันได้ตั้งแต่ต้น.

- ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์- 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top