‘พีระพันธุ์’ เขย่ารัฐบาล เลิกอ้อมค้อม! จี้บังคับใช้กฎหมาย ม.122 เด็ดขาด สกัดส่งน้ำมันหนุนยุทธปัจจัยกัมพูชา

‘พีระพันธุ์’ เขย่ารัฐบาล เลิกอ้อมค้อม! จี้บังคับใช้กฎหมาย ม.122 เด็ดขาด สกัดส่งน้ำมันหนุนยุทธปัจจัยกัมพูชา

วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 13.05 น.

‘พีระพันธุ์’ เขย่ารัฐบาลเลิกอ้อมค้อม หยุด “ขอความร่วมมือ” เรียกร้องบังคับใช้กฎหมาย ม.122 ขั้นเด็ดขาด สกัดส่งน้ำมันหนุนยุทธปัจจัยเขมร ลั่น 'จับ-ดำเนินคดี' ทันที ไม่ต้องรอกฎอัยการศึก

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อกระแสข่าวในช่วงหลายวันที่ผ่านมา กรณีบริษัทน้ำมันของไทยยังคงมีการส่งน้ำมันไปยังประเทศกัมพูชา แม้ประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ตึงเครียดด้านความมั่นคง โดยระบุว่า  ตนได้ติดตามรายงานข่าวจากสื่อมวลชนว่า กองทัพเรือกำลังแก้ไขปัญหาเรือไทยที่ลำเลียงน้ำมันอ้อมผ่านประเทศสิงคโปร์ หรือไปรับน้ำมันจากสิงคโปร์ก่อนนำไปส่งต่อให้กัมพูชา โดยมีการชี้แจงว่ากำลัง “ขอความร่วมมือ” จากเจ้าของเรือไม่ให้ดำเนินการดังกล่าว


“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้วิธีขอความร่วมมือ ทั้งที่การกระทำลักษณะนี้เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 122 อย่างชัดเจน” นายพีระพันธุ์กล่าว

หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ย้ำว่า กฎหมายอาญามาตรา 122 ระบุชัดว่า การอุปการะ สนับสนุน หรือช่วยเหลือการดำเนินการรบ หรือการตระเตรียมการรบของข้าศึก เป็นความผิดร้ายแรง และหากการกระทำนั้นทำให้ข้าศึกได้เปรียบในการรบ มีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องรอการประกาศกฎอัยการศึกแต่อย่างใด

“น้ำมันคือยุทธปัจจัยหลักของสงคราม ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีเหตุผลใดให้เชื่อว่าน้ำมันที่ถูกส่งออกไปจะไม่ถูกนำมาใช้ต่อสู้กับประเทศไทย” นายพีระพันธุ์ระบุ

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า สิ่งที่รัฐควรดำเนินการไม่ใช่การขอความร่วมมือ แต่ต้องจับกุมและดำเนินคดีทันที ทั้งผู้ควบคุมเรือ เจ้าของเรือ และบริษัทที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากสามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจนว่า เรือไทย บริษัทขนส่ง หรือบริษัทค้าน้ำมันรายใดมีพฤติกรรมเข้าข่ายสนับสนุนยุทธปัจจัยให้ข้าศึก พร้อมเรียกร้องให้รัฐประกาศอย่างชัดเจนว่า ผู้ใดส่งน้ำมันหรือยุทธปัจจัยให้กัมพูชา ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ถือเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย และต้องถูกดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ยังเรียกร้องให้มีการตรวจสอบรถบรรทุกน้ำมันทุกคันที่ผ่านด่านช่องเม็กอย่างเข้มงวดโดยไม่มีข้อยกเว้น ทั้งการตรวจเอกสารการส่งออก ตรวจสอบปลายทางที่แท้จริง ผู้รับสินค้า และวัตถุประสงค์การใช้งาน รวมถึงการควบคุมตัวและสอบปากคำคนขับรถทุกคันเมื่อเดินทางกลับเข้าประเทศ เพื่อยืนยันปลายทางสุดท้ายของการขนส่ง

“บุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าข่ายเป็นผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 122 ซึ่งเป็นความผิดด้านความมั่นคงของรัฐ” นายพีระพันธุ์กล่าว

ทั้งนี้ การขนส่งดังกล่าว ไม่ว่าจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังประกาศห้ามตามคำสั่งของกองทัพภาคที่ 2 ก็ไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้างได้ เนื่องจากเป็นคนละประเด็น โดยคำสั่งห้ามเป็นมาตรการป้องกัน ขณะที่กฎหมายอาญามาตรา 122 เป็นกฎหมายความมั่นคงของชาติที่มีผลบังคับใช้อยู่ตลอดเวลา

นายพีระพันธุ์ ยังระบุว่า นายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจได้ทันที ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในการออกคำสั่งหรือกำหนดนโยบายห้ามการกระทำลักษณะดังกล่าวอย่างเด็ดขาด

“แต่น่าแปลกใจที่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีคำสั่งใดออกมา กลับเลือกใช้วิธีขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ในขณะที่ทหารไทยต้องยืนอยู่แนวหน้า เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องประเทศ” นายพีระพันธุ์กล่าว พร้อมย้ำว่า ขณะนี้ไม่ใช่เวลาของความลังเลหรืออ้อมค้อม แต่เป็นเวลาที่รัฐต้องใช้มาตรการเด็ดขาด เพื่อประเทศ เพื่ออธิปไตย และเพื่อไม่ให้การเสียสละของทหารไทยต้องสูญเปล่า

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top