พรรคส้ม ประชาธิปไตยหน้าฉาก โปลิตบูโรชั้นล่าง กับผู้ออกแบบชั้นบน

พรรคส้ม ประชาธิปไตยหน้าฉาก โปลิตบูโรชั้นล่าง กับผู้ออกแบบชั้นบน

วันพุธ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 11.24 น.

พรรคประชาชน หรือพรรคส้ม วางภาพลักษณ์ทางการเมืองของตัวเองมาอย่างต่อเนื่องว่าเป็นพรรคที่แตกต่างจากการเมืองแบบเดิม เป็นพรรคที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม เปิดพื้นที่ให้สมาชิก และยึดโยงกับประชาชนมากกว่าพรรคการเมืองอื่น

ภาพลักษณ์ที่พรรคเลือกวางเช่นนี้ ทำให้พรรคส้มถูกมองว่าเป็นการเมืองแบบใหม่ สะอาด โปร่ง และขับเคลื่อนด้วยกระบวนการภายในมากกว่าการสั่งการจากบนลงล่าง การตัดสินใจสำคัญของพรรคจึงมักถูกอธิบายในนามของระบบ ของคณะกรรมการ และของกลไกภายในพรรคเป็นหลัก


ในการสื่อสาร พรรคเลือกเน้นภาพของการทำงานร่วมกัน การแลกเปลี่ยน และฉันทามติ มากกว่าการอธิบายว่าอำนาจตัดสินใจจริงทำงานอย่างไรในแต่ละจังหวะ เรื่องเล่าแบบนี้ช่วยตอกย้ำภาพพรรคประชาธิปไตย แต่ก็ทำให้กระบวนการตัดสินใจถูกเข้าใจว่าเปิดกว้างกว่าที่เป็นอยู่จริง

เมื่อมองเข้าไปในโครงสร้างการตัดสินใจภายใน โดยเฉพาะในช่วงการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ภาพที่ปรากฏกลับไม่ได้เดินไปในทิศทางเดียวกับภาพที่พรรคเลือกนำเสนอ

อำนาจการบริหารของพรรคประชาชนถูกรวมศูนย์อยู่ที่คณะบุคคล 6 คน
โครงสร้างลักษณะนี้ทำงานราวกับเป็น “คณะโปลิตบูโร” ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกคณะผู้นำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น ในอดีตสหภาพโซเวียตและจีน หมายถึงกลุ่มคนไม่กี่คนที่กำหนดทิศทางพรรค และเป็นศูนย์กลางอำนาจการตัดสินใจที่แท้จริง

ประกอบด้วย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค
พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค
ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค
ณัฐวุฒิ บัวประทุม นายทะเบียนพรรค
และ ชุติมา คชพันธ์ เหรัญญิกพรรค

ทั้งหกคนคือศูนย์กลางของการตัดสินใจภายในพรรค ตั้งแต่การกำหนดทิศทางทางการเมือง การจัดวางคนในพื้นที่ ไปจนถึงการตัดสินว่าใครควรได้ไปต่อในสนามเลือกตั้ง การตัดสินใจเหล่านี้ไหลขึ้นไปจบที่คนกลุ่มนี้เป็นหลัก มากกว่าจะสะท้อนเสียงจากสมาชิกหรือผู้สนับสนุนในพื้นที่

ในทางโครงสร้าง คณะกรรมการบริหารพรรคควรเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยน เป็นกลไกถ่วงดุล และเป็นเวทีที่เสียงจากพื้นที่ถูกนำมาพิจารณา แต่ในทางปฏิบัติ บทบาทนั้นกลับแคบกว่าที่ควรจะเป็น

กรณีของ ตรัยวรรธน์ อิ่มใจ อดีต สส.สมุทรปราการ ทำให้โครงสร้างอำนาจภายในพรรคถูกมองเห็นชัดขึ้น คณะกรรมการบริหารพรรคมีมติให้เขาเป็นผู้สมัคร มีการแจ้งผลอย่างเป็นทางการ และไม่มีข้อโต้แย้งในกระบวนการประชุม

แต่ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน มติดังกล่าวถูกเปลี่ยน ไม่ใช่ด้วยการเรียกประชุมใหม่ ไม่ใช่ด้วยการชี้แจงเหตุผลต่อสาธารณะ แต่ด้วยอำนาจวีโตจากเลขาธิการพรรคและหัวหน้าพรรค

คำถามที่ตามมา จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของผู้ถูกตัด แต่เป็นคำถามต่อระบบ ว่ามติของคณะกรรมการบริหารมีความหมายแค่ไหน หากสามารถถูกยกเลิกได้ด้วยการตัดสินใจของคนไม่กี่คน

ลักษณะเดียวกันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงพื้นที่เดียว หลายจังหวัดมี สส. เก่าที่ไม่ผ่านการคัดเลือกทั้งชุด โดยไม่มีการอธิบายอย่างเป็นระบบว่าเกณฑ์ที่ใช้คืออะไร ใครเป็นผู้ประเมิน และประเมินจากข้อมูลใด สิ่งที่สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนได้รับคือผลลัพธ์สุดท้าย ไม่ใช่กระบวนการระหว่างทาง

ในทางปฏิบัติ คนหกคนนี้คือกลุ่มที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตพรรค ตั้งแต่การคัดเลือกผู้สมัคร การจัดวางคนในพื้นที่ ไปจนถึงการปิดเกมทางการเมืองในแต่ละจังหวะ อำนาจอยู่ตรงนี้ และทำงานจริงตรงนี้

แต่เมื่อมองให้ลึกลงไปอีก คำถามไม่ได้หยุดอยู่แค่ว่าใครเป็นคนตัดสินใจ แต่อยู่ที่ว่าใครเป็นคนกำหนดกรอบของการตัดสินใจเหล่านั้นตั้งแต่ต้น ใครเป็นคนวางเส้นว่าพรรคจะเดินไปได้แค่ไหน และหยุดตรงไหน

แม้โปลิตบูโร 6 คนจะเป็นศูนย์กลางอำนาจในเชิงโครงสร้าง แต่ถ้ามองกันตามความเป็นจริงทางการเมือง ก็ยากจะบอกว่านี่คือชั้นบนสุดของพรรคประชาชน เพราะเหนือกลุ่มนี้ยังมีอำนาจอีกระดับหนึ่ง ที่ไม่ต้องประชุม ไม่ต้องลงมติ และไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งใด ๆ

อำนาจระดับนั้นคือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล

ธนาธรไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะกรอบความคิดของพรรคถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว ใครจะขยับ ใครจะเสนอ ใครจะเล่นบทไหน ล้วนต้องอยู่ในเส้นที่ถูกขีดไว้ล่วงหน้า

ส่วนปิยบุตรทำหน้าที่อธิบายกรอบนั้นให้ดูมีเหตุมีผล มีหลักคิด และมีคำอธิบายที่ฟังดูเหมือนการถกเถียง ทั้งที่ปลายทางถูกกำหนดไว้แล้ว

ถ้าโปลิตบูโรคือกลุ่มที่ตัดสินใจในนามของพรรค คนสองคนนี้คือผู้ที่กำหนดเงื่อนไขว่าการตัดสินใจแบบใด “เป็นไปได้” และแบบใด “เป็นไปไม่ได้”

คำอธิบายเรื่องการทำ MOA สนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ปิยบุตรเปิดเผยภายหลังว่าเป็น “การทดลอง” ยิ่งทำให้ภาพการตัดสินใจภายในพรรคชัดขึ้น เพราะการทดลองทางการเมืองในระดับนี้ ไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของสมาชิก ไม่ได้ผ่านการถกเถียงในวงกว้าง แต่เป็นการตัดสินใจของคนที่มีอำนาจพอจะทดลอง

ขณะที่ผลจากการทดลองนั้นกลับตกอยู่กับพรรคและผู้สนับสนุนเป็นหลัก จนต้องออกมาจัดเวทีปิกนิกขอโทษประชาชนในภายหลัง ภาพที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ความผิดพลาดเฉพาะหน้า แต่เป็นผลจากโครงสร้างการตัดสินใจที่รวมศูนย์อยู่ตั้งแต่ต้น

สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนมีบทบาทชัดในวันที่พรรคต้องการแรง ทั้งหาเสียง สร้างกระแส และออกหน้าปกป้อง แต่เมื่อถึงคำถามสำคัญว่าใครจะเป็นผู้สมัคร ใครจะเป็นตัวแทนในสภา และใครควรถูกกันออก คำตอบไม่ได้อยู่ในมือของพวกเขาเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่พรรคที่ไร้กติกา แต่เป็นพรรคที่กติกาทำงานเฉพาะกับบางคน หน้าฉากพูดถึงการมีส่วนร่วม หลังบ้านการตัดสินใจถูกส่งลงมาจากข้างบนเป็นทอด ๆ โปลิตบูโรทำหน้าที่ลงนามให้ระบบ ขณะที่ทิศทางใหญ่ถูกกำหนดไว้ก่อนหน้าแล้ว

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดเฉพาะกรณี แต่คือโครงสร้างการตัดสินใจที่รวมศูนย์อยู่กับคนไม่กี่คน สมาชิกมีหน้าที่เชียร์ ผู้สนับสนุนมีหน้าที่แบก ส่วนอำนาจเลือกคน ไม่เคยถูกกระจายลงมาถึงฐานที่พรรคอ้างถึงเลย

ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์ 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top