วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
บรรยากาศการเมืองก่อนเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ 2569 เริ่มเห็นเค้าโครงชัดขึ้นว่า การแข่งขันครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่การขายภาพฝันหรือถ้อยคำเร้าอารมณ์ แต่อยู่ที่คำถามว่า พรรคใด “พร้อม” สำหรับการบริหารประเทศมากกว่า
ในบริบทนี้ พรรคภูมิใจไทยถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะเลือกวางเกมหาเสียงบนฐานประสบการณ์ มากกว่าการสร้างประเด็นใหม่เพื่อเรียกความสนใจระยะสั้น
ศูนย์กลางของภาพดังกล่าวคือ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคที่เลือกยืนอยู่บนเวทีเลือกตั้ง ด้วยการขอความไว้วางใจจากประชาชน เพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง
สารที่อนุทินต้องการสื่อ ไม่ใช่การอ้างสถานะหรืออำนาจใดในปัจจุบัน แต่เป็นการขออำนาจจากประชาชนอย่างเป็นทางการ บนเหตุผลว่าเขาและพรรคผ่านงานรัฐจริงมาแล้ว และเข้าใจข้อจำกัดของการบริหารประเทศในทางปฏิบัติ
ความแตกต่างของการหาเสียงภูมิใจไทย อยู่ที่การหยิบ “ประสบการณ์” มาเป็นแกนของนโยบาย
ทั้งการรับมือวิกฤต การทำงานร่วมกับระบบราชการ รวมถึงการตัดสินใจเชิงนโยบายภายใต้เงื่อนไขจริง
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาเล่าเพื่ออวดผลงาน แต่ถูกใช้เป็นฐานในการออกแบบ นโยบายหาเสียง ซึ่งตั้งต้นจากสิ่งที่เคยทำ ไม่ใช่จากสมมติฐานในเชิงอุดมคติ
แนวคิด “ทำให้ดีกว่าและยิ่งใหญ่กว่า 3 เดือนที่ผ่านมา” จึงไม่ได้ถูกวางเป็นถ้อยคำเชิงอารมณ์
แต่เป็นการชวนประชาชนพิจารณาว่า
หากพรรคได้รับอำนาจเต็มหลังการเลือกตั้ง งานที่เคยทำในกรอบจำกัด จะถูกขยายให้ครอบคลุมทั้งระบบรัฐบาลได้อย่างไร
นี่คือเหตุผลที่ภูมิใจไทยอธิบายการเลือกตั้งครั้งนี้ ในฐานะการ “ขยายงาน”
ไม่ใช่การขอเวลาเพื่อเริ่มต้นใหม่
ในบริบทนี้เอง ที่พรรคเลือกใช้สโลแกน “ภูมิใจไทยพูดแล้วทำพลัส” เป็นแกนของการสื่อสาร
คำว่า “พูดแล้วทำ” สะท้อนวิธีคิดทางการเมืองที่พรรคใช้มาโดยตลอด
ขณะที่คำว่า “พลัส” คือการยอมรับโดยตรงว่า ความคาดหวังของประชาชนสูงขึ้น และมาตรฐานการทำงานต้องยกระดับตาม
สโลแกนนี้จึงไม่ได้เป็นคำขวัญลอย ๆ
แต่เป็นการสรุปแนวทางหาเสียงของพรรคว่า จากสิ่งที่เคยทำ จะต้องทำได้มากกว่า เร็วกว่า และครอบคลุมกว่า
หากได้รับอำนาจเต็มหลังการเลือกตั้ง
อีกองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์หาเสียง คือความชัดเจนด้านตัวบุคคล
ภูมิใจไทยประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 2 คน คือ อนุทิน ชาญวีรกูล
และ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว
สิ่งที่พรรคเลือกสื่อสารควบคู่กัน ไม่ใช่เพียงรายชื่อแคนดิเดต แต่คือภาพบทบาทการทำงานของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
ในกรณีของสีหศักดิ์ พรรคสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทด้านการต่างประเทศ และการประสานงานกับกลไกความมั่นคงของรัฐ
ซึ่งสอดรับกับโจทย์เวทีระหว่างประเทศที่ไทยต้องเผชิญในระยะต่อไป
ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยยังสื่อสารให้เห็นว่า ความพร้อมของพรรคไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวผู้นำ แต่หมายถึงความพร้อมของโครงสร้างการทำงานทั้งพรรค
การจัดวางทีมเศรษฐกิจและทีมขับเคลื่อนนโยบาย ซึ่งมีชื่อของ ศุภจี สุธรรมพันธุ์
และ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ถูกกล่าวถึงในฐานะส่วนหนึ่งของภาพความพร้อมดังกล่าว เพื่อสะท้อนว่าพรรคมีทีมงานรองรับการขับเคลื่อนนโยบาย หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชน
ภาพนี้ช่วยตอกย้ำว่า กลยุทธ์หาเสียงของภูมิใจไทย วางอยู่บนการเสนอผู้นำเป็นศูนย์กลาง ควบคู่ไปกับความพร้อมของพรรคทั้งระบบ
ในเชิงนโยบาย พรรคเลือกจับโจทย์ที่ประชาชนเผชิญอยู่จริงในชีวิตประจำวัน
ทั้งเศรษฐกิจระดับครัวเรือน ความมั่นคง
อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยจากเทคโนโลยี
และปัญหาชายแดน
แนวคิด “รั้วของชาติ” ถูกนำเสนอในฐานะกรอบการจัดการปัญหาเชิงระบบ
ตั้งแต่การทหาร ไปจนถึงการจัดการสแกมเมอร์ การพนัน ยาเสพติด และการลักลอบผิดกฎหมายรูปแบบต่าง ๆ
เป้าหมายไม่ใช่การขยายบทบาทรัฐ
แต่คือการปิดช่องโหว่ ที่กระทบต่อความปลอดภัยและเศรษฐกิจของประชาชนโดยตรง
นโยบายทหารอาสา เปิดรับ 100,000 คน รับราชการ 4 ปี เงินเดือน 12,000 บาท ถูกยกเป็นตัวอย่างของการแก้ปัญหาความมั่นคง ที่ผูกโยงกับโอกาสทางอาชีพของคนรุ่นใหม่
เป็นการพูดเรื่องกองทัพ ในภาษาที่ประชาชนเข้าถึงได้ ไม่ใช่ภาษายุทธศาสตร์ที่ห่างจากชีวิตจริง
ด้านเศรษฐกิจ ภูมิใจไทยเลือกใช้ผลงานที่ผ่านมาเป็นฐานอธิบายนโยบายหาเสียง
ทั้งแนวคิดควิกบิ๊กวิน การต่อยอดคนละครึ่งพลัส และการผลักดันสินค้าเมดอินไทยแลนด์
สารสำคัญคือ หากได้รับอำนาจเต็มหลังการเลือกตั้ง กระบวนการตัดสินใจจะเดินได้เร็วกว่า และการขับเคลื่อนนโยบายจะเป็นระบบมากขึ้น
ภาพรวมของการหาเสียงภูมิใจไทยในรอบนี้ จึงไม่เน้นการเร้าอารมณ์
แต่เป็นการวางเหตุผลให้ประชาชนชั่งน้ำหนักว่า ประเทศควรเดินต่อในทิศทางใด
ท่ามกลางความเสี่ยงหลายด้านที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
พรรคเสนอทางเลือกของตนเอง ผ่านผู้นำ
กลยุทธ์พรรค และนโยบายที่สังเคราะห์จากประสบการณ์จริง
ผลลัพธ์สุดท้าย ยังคงอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569
แต่สิ่งที่ชัดเจนแล้วคือ ภูมิใจไทยกำลังก้าวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ด้วยความมั่นใจในสิ่งที่พรรคมีอยู่ในมือ และความเชื่อว่า “พูดแล้วทำ” ต้อง “ทำได้มากกว่าเดิม”
ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี