วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
‘เทพมนตรี’ร่อนจดหมายถึง‘นายกฯ’ แนะ 6 ขั้นตอนทวงคืน‘ปราสาทเขาพระวิหาร’
26 ธันวาคม 2568 นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ “จดหมายเปิดผนึก” เรื่อง “ขอคืนปราสาทพระวิหารและใช้ข้อสงวนสิทธิ์” ระบุว่า...
จดหมายเปิดผนึก
เรื่อง ขอคืนปราสาทพระวิหารและใช้ข้อสงวนสิทธิ์
เรียน ฯพณฯท่านนายกรัฐมนตรี
กระผมมีข้อเสนอในเรื่องการขอคืนปราสาทพระวิหารดังนี้
วิธีการใช้ข้อสงวนสิทธิ์ ฉบับวันที่ 6 กรกฎาคม 2505 และแนะนำ ปราสาทพระวิหารคืนประเทศไทยโดยแจ้งสหประชาชาติว่าไทยมีหลักฐานใหม่ทางกฎหมายและการอ้างอิงสันปันน้ำที่ขอบหน้าผาของฝ่ายกัมพูชาผ่านแผนบริหารการจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหาร รวมถึงการกำหนดเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปีค.ศ. 1904 ให้ใช้สันปันน้ำ ซึ่งปัจจุบันทางการกัมพูชาได้ยอมรับว่าสันปันน้ำบริเวณประสาทพระวิหารอยู่ที่ขอบหน้าผานั่นเอง โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. ใช้กำลังทหารยึดคืนปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทั้งหมด ตาม อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปีค.ศ. 1904
2. รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรี สั่งการกระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติแจ้งว่าไทยในฐานะประเทศสมาชิกขอใช้ข้อสงวนสิทธิ์ที่เคยตั้งเอาไว้และไม่ยอมรับคำพิพากษาคดีประสาทพระวิหารโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตัดสินคดีไม่ยุติธรรมและขัดแย้งกับสนธิสัญญารวมถึงสภาพความจริงทางภูมิศาสตร์ในคดี
3. รัฐบาลตั้งทีมในการเจรจาใช้ข้อสงวนสิทธิ์และแจ้งไปยังเลขาธิการสหประชาชาติอ้างอิงหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์และหลักฐานในปัจจุบันของฝ่ายกัมพูชาที่ยอมรับว่าสันปันน้ำบริเวณ ปราสาทพระวิหาร อยู่ที่ขอบหน้าผา ตามแผนบริหารจัดการที่ยื่นต่อคณะกรรมการมรดกโลกและการสำรวจภูมิประเทศโดยเทคโนโลยีไลด้า

4. คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปีค.ศ. 1962 และปีค.ศ. 2003 มุ่งไปยังประเด็นการให้อำนาจอธิปไตยกับประเทศกัมพูชาและไทยถอนกำลังยามรักษาการตำรวจและทหารออกจาก อาณาบริเวณรอบประสาท ดังนั้นเมื่อประเทศไทยมีหลักฐานใหม่และยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเส้นเขตแดนที่ปรากฏตามข้อบทในสนธิสัญญาปีค.ศ. 1904 ใช้สันปันน้ำ คณะกรรมการปักปันเขตแดนได้กำหนดเอาไว้ให้อยู่ที่ขอบหน้าผาซึ่งมีระดับความสูงกว่า 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลเป็นจุดที่สูงที่สุด ปราสาทพระวิหารจึงเป็นของราชอาณาจักรไทย และราชอาณาจักรไทยขอคืนสภาพการใช้อำนาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์และมีสิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ที่จะตั้งยามรักษาการตำรวจและทหารดูแลรักษา พระราชอาณาเขต โดยที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมิได้ตัดสินเรื่องเขตแดนหรือเส้นเขตแดนหรือแม้กระทั่งแผนที่ที่ถูกอ้างอิงว่าเป็นแผนที่อันเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามอินโดจีนฝรั่งเศสตามอนุสัญญาปีค.ศ. 1904
กัมพูชาอาศัยความเข้าใจผิดในคำพิพากษาให้เป็นคุณกับ ฝ่ายตนเองโดยการประกาศพระราชกฤษฎีกาพื้นที่ประกาศพระวิหารเมื่อปีพ.ศ.2550 ซึ่งไทยได้ประท้วงไว้แล้วถึงสองครั้ง  และได้แจ้งไปยังราชเลขาธิการ ตามหนังสือที่กต. 0803 / 453 ลงวันที่ 20 มิถุนา 2551
ประเทศไทยจึงมีสิทธิ อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารและดินแดนทั้งหมดบนเทือกเขาพนมดงรัก
5. รัฐบาลต้องสั่งการไปยังกองทัพภาค2 ให้ตั้งฐานทัพบนตัวประสาทพระวิหารและแจ้งไปยังคณะกรรมการมรดกโลก และศูนย์มรดกโลกที่ปารีสว่าการกระทำของกัมพูชาที่ใช้ปราสาทพระวิหารสะสมยุทโธปกรณ์กำลังทหารและรุกล้ำดินแดนประเทศภาคีสมาชิกอย่างประเทศไทย ขอให้คณะกรรมการมรดกโลกมีคำวินิจฉัยอย่างเร่งด่วนในการยกเลิกทะเบียนมรดกโลกประสาทพระวิหารออกจากบัญชีโดยอาจจะขึ้นเป็นมรดกโลกอันตรายเอาไว้ก่อนก็ได้
6. รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศแจ้งไปยังรัฐบาลกัมพูชาว่าประเทศไทยไม่ประสงค์ที่จะให้กัมพูชาได้ใช้อำนาจอธิปไตยเหนือประสาทพระวิหารอีกต่อไปทั้งปัจจุบันและอนาคต ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
ขอแสดงความนับถือ
นายเทพมนตรี ลิมปพยอม
25 ธันวาคม 2568
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี