คงจะเป็นความแปลกประหลาด ของผู้ที่มาเยือนประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียนอันประกอบไปด้วยประเทศนอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์กและฟินแลนด์ หากเขาเหล่านั้นยังคงสวมหน้ากากอนามัยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อโควิด-19 ที่อาจจะแพร่มาจากคนที่อยู่รอบด้าน แต่เนื่องจากมารยาทของชาวสแกนฯ ทำให้เขาไม่ใส่ใจมองไปยังบุคคลที่สวมหน้ากากอนามัยที่ปิดปากและจมูกอย่างมิดชิดด้วยสายตาดูหมิ่นเหยียดหยามแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพียงแค่ชำเลืองมองแค่แว็บเดียว แล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ที่ผู้เขียนขึ้นต้นเรื่องไว้อย่างนี้ก็เพราะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัวที่ประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์ และเพิ่งกลับมาถึงประเทศไทยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง
ในวันเดินทางออกจากประเทศที่สนามบินสุวรรณภูมินั้น ผู้คนเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ยกเว้นชาวต่างชาติบางส่วน ต่างก็สวมใส่หน้ากากอนามัยกันทั้งหมด รวมทั้งครอบครัวของผู้เขียนด้วย โดยความตั้งใจเดิมนั้นเราจะใส่หน้ากากอนามัยตลอดการเดินทางครั้งนี้ ต้องเรียนให้ทราบว่าการเดินทางออกนอกประเทศในขณะนี้เกือบจะไม่มีประเทศไหนในโลกแล้ว ที่กำหนดกติกาให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าไปยังต้องแสดงประวัติการฉีดวัคซีนรวมทั้งผลการตรวจ ATK หรือ RT-PCR อีกต่อไป ซึ่งประเทศไทยของเราก็เป็นเช่นเดียวกัน และรวมถึงการเดินทางของทุกคนจากต่างประเทศที่เข้าสู่ประเทศไทยด้วย
ผู้เขียนและครอบครัวยังคงใส่หน้ากากอนามัยอย่างมิดชิดจนขึ้นเครื่องบินโดยสาร ซึ่งก็พบว่าบนเครื่องบินของสายการบินไทยนั้น มีผู้คนใส่หน้ากากอนามัยอยู่น้อยมาก และระหว่างการเดินทางก็พบว่าส่วนใหญ่ของผู้โดยสารถอดหน้ากากอนามัยออกจนหมด เพราะการใส่อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาเกือบ 11 ชั่วโมงนั้น น่าจะเกินกว่าความอดทน ของคนทั่วไปได้ จนกระทั่งเมื่อลงจากเครื่องบินและเข้าสู่กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง เมื่อผ่านจากจุดนั้นเรียบร้อยแล้วผมก็ไม่เห็นใครใส่หน้ากากอนามัยอีกเลย
ผู้เขียนนั่งรถลิมูซีนจากสนามบินซึ่งเราติดต่อไว้แล้วล่วงหน้าเข้าสู่โรงแรมที่พักในกรุงโคเปนเฮเกนเมืองหลวงของประเทศเดนมาร์ก ผมได้คุยกับคนขับแท็กซี่ในหลายๆ เรื่องรวมทั้งเรื่องของสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศนี้ด้วย เมื่อผมถามว่าตอนนี้โควิด-19 ในเดนมาร์กเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบผมว่า Zero covid ซึ่งคงไม่ต้องแปลความหมายอีกนะครับ คนเดนมาร์กส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนโควิดไปแล้วมากกว่า 2 เข็ม เมื่อผมบอกเขาว่าผมฉีดไป 5 เข็มแล้ว เขาทำท่าตกใจรวมทั้งยังบอกอีกว่าตัวเขาเองยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว และการใช้ชีวิตของผู้คน ในเมืองนี้ก็เป็นไปแบบวิถีชีวิตตามปกติ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่มีประชาชนที่เดินอยู่ตามท้องถนน สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตลอดจนในห้างสรรพสินค้าใส่หน้ากากอนามัยแต่อย่างใด
ก็หวังว่าวันที่พวกเราคนไทยจะไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อโควิด-19 จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอีกไม่นานจากนี้ ซึ่งเมื่อหันมาดูตัวเลขข้อมูลเรื่องโควิดของไทยจนถึงปัจจุบันก็จะพบว่า ตั้งแต่มีการระบาดครั้งแรกจนถึงวันนี้เรามีผู้ติดเชื้อไปแล้วประมาณ 4.67 ล้านคน และเสียชีวิตไปประมาณ 3.25 หมื่นราย โดยมีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่ต้องเข้าพักรักษาในโรงพยาบาล ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาต่ำสุดที่ 617 รายต่อวันเมื่อวันที่ 13 กันยายนนี้ และมีผู้เสียชีวิตในวันนั้นเพียงแค่ 10 ราย ส่วนในวันอื่นๆ ตัวเลขยังอยู่ที่ระดับ 1,000 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตต่ำกว่า 15 รายต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีพอควร
และถ้าจะดูตัวเลขของจำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 จนถึงวันนี้เช่นกัน ก็จะพบว่ากลุ่มผู้ที่เป็นเป้าหมายที่ควรได้รับการฉีดได้รับการฉีดเข็มที่ 1 แล้วมากกว่า 88% เข็มที่ 2แล้วมากกว่า 72% และเข็มที่ 3 แล้วเกินกว่า 46% เมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมานี้เอง โดยยังมีผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยอยู่ที่วันละประมาณ 10,000 ราย ก็น่าจะพอเชื่อได้ว่าภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ได้เกิดขึ้นมากพอสมควรแล้ว และถ้าตัวเลขของผู้ป่วยรายใหม่ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถึงแม้จะไม่ลงไปถึงระดับที่ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวันเลย ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ก็น่าจะทำให้วิถีชีวิตของผู้คนในประเทศของเรากลับมาสู่สภาพปกติได้เช่นกัน การใส่หน้ากากอนามัยควรจะเกิดขึ้นเฉพาะในผู้ที่มีการติดเชื้อเกิดขึ้น และได้พักรักษาตัวเองจนอาการดีขึ้น และใส่หน้ากากต่อเนื่องเมื่อต้องออกจากบ้านจนครบ 10 วัน หลังจากที่มีอาการจากการติดเชื้อแล้วเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อที่หากยังหลงเหลืออยู่บ้างไปสู่ผู้คนอื่นเท่านั้นเอง
ในส่วนสถานการณ์การระบาดของทั้งโลกนั้น จนถึงขณะนี้มีผู้ป่วยจากโควิด-19 แล้วมากกว่า 615 ล้านคน และเสียชีวิตไปประมาณ 6.5 ล้านราย โดยประเทศที่ยังมีผู้ป่วยสูงสุดในขณะนี้ในแต่ละวันคือประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังมีผู้ป่วยเกินกว่า 1 แสนรายต่อวัน และประเทศเกาหลีซึ่งยังมีผู้ป่วยที่ระดับ 7 หมื่นรายต่อวัน แต่ทั้ง 2 ประเทศนี้ก็เริ่มเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศได้แล้ว โดยยังมีกฎกติกาอยู่บ้างเล็กน้อย
โควิด-19 คงไม่ใช่เป็นเรื่องของโรคที่น่ากลัวอีกต่อไป ตลอดจนการพัฒนาวัคซีนก็ดีขึ้นตามลำดับ จนถึงขณะนี้ เริ่มมีการใช้วัคซีนชนิดพ่นและหยอดในโพรงจมูกเพื่อการป้องกันโรคโควิด-19 เกิดแล้วในประเทศจีนและอินเดีย โดยผู้ผลิตคือบริษัทแอสตร้าเซเนก้า โดยเป็นวัคซีนชนิดไวรัลเวกเตอร์เหมือนกับที่ใช้ฉีดนั่นเอง
แต่โรคที่น่ากลัวสำหรับประเทศไทยในขณะนี้ คือโรคที่เกิดขึ้นจากการแตกแยกความรักสามัคคีที่คนไทยเคยมีต่อกัน รวมทั้งการแย่งชิงอำนาจของนักการเมืองบางส่วนที่ต้องการอำนาจไว้ในมือเพื่อผลประโยชน์ของส่วนตนและหมู่คณะ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง อันเป็นเรื่องที่คนไทยที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะต้องร่วมมือกันปกป้องให้ถึงที่สุด
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี