วันจันทร์ ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สถานการณ์การกลับมาระบาดของโรคโวิด-19 รอบใหม่ โดยเชื้อสายพันธุ์ XBB.1.16 ที่มีชื่อว่า Arcturus ซึ่งเริ่มต้นจากประเทศอังกฤษ มายังอินเดีย และกระจายไปไหนหลายประเทศทั่วโลกในขณะนี้ดูเหมือนจะไม่รุนแรงนัก ถึงแม้จะมีข้อมูลว่าเชื้อตัวนี้ระบาดได้ง่ายและรวดเร็วก็ตาม จำนวนตัวเลขของผู้ติดเชื้อในประเทศไทยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในรอบสัปดาห์ระหว่างวันที่ 23-29 เมษายนนั้นพบว่ามีจำนวน 1,811 รายโดยมีผู้เสียชีวิตจำนวน 10 ราย มีผู้ป่วยปอดอักเสบ 157 ราย และผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจจำนวน 79 รายตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากรอบสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งมีผู้ป่วยรับไว้ในโรงพยาบาล 1,088 ราย และเสียชีวิต5 ราย คือเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ส่วนในโรงพยาบาลต่างๆ ก็มีผู้เข้ารับการตรวจรักษามากขึ้นพอสมควร สถานการณ์ในขณะนี้จึงถือว่ายังไม่รุนแรงนักหรืออาจจะเรียกได้ว่า เอาอยู่
แต่เรื่องที่อาจจะทำให้เกิดปัญหากับประเทศโดยเฉพาะในระยะยาวก็คือเรื่องของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมนี้หรืออีกเพียง 6 วันนับตั้งแต่วันนี้ไปซึ่งขณะนี้กระบวนการหาเสียงของแต่ละพรรคที่ส่งผู้แทนเข้าสมัครรับเลือกตั้งนั้น มีลักษณะที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลกับประชาชนที่มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พอสมควร
ถึงแม้ว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปตามข้อกำหนดกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแปลว่าระบอบการปกครองที่ถือมติประชาชนเป็นใหญ่ หรือการถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะได้ตัวแทนของประชาชนที่เรียกกันว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งหมด โดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ปี 2560 ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่แล้วนั้น ได้กำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนฯ จำนวน 250 คนร่วมกับสมาชิกวุฒิสภาซึ่งได้รับการแต่งตั้งอีกจำนวน 250 คน โดยอายุของสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้จะหมดลงในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 จึงยังมีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอยู่
จากสภาพการหาเสียงที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะพบว่า แต่ละพรรคการเมืองก็มุ่งที่จะเอาชนะกันคือการที่จะได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าพรรคอื่นๆ จึงนำเสนอนโยบายที่อาจจะเรียกว่าสุดโต่งเพื่อจะจูงใจผู้มีสิทธิ์ออกเสียงไว้ค่อนข้างจะมาก ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการแจกเงินในรูปแบบต่างๆที่อาจจะเรียกว่า สัญญาว่าจะให้ที่อาจจะเป็นความผิดได้ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.จะเป็นผู้พิจารณาตัดสินในกรณีที่มีผู้ร้องเรียน และหากผิดจริงอาจจะมีโทษรุนแรงถึงขั้นยุบพรรค ซึ่งการนำเสนอในรูปแบบนี้มีอยู่มากพอสมควรและหลากหลายวิธีการ ซึ่งจำนวนเงินที่ถูกนำเสนอโดยบางพรรคก็มีจำนวนมาก จนทำให้นักการเงินการธนาคารที่มีความรู้ความชำนาญและมีประสบการณ์บริหารระดับสูงมาก่อน เกิดความวิตกกังวลว่าจะกระทบต่อระบบการเงินการคลังของประเทศได้
เรื่องการแจกเงินนี้ รวมทั้งเรื่องการปรับค่าแรงขั้นต่ำ การเพิ่มเงินเดือนให้กับบัณฑิตปริญญาตรี การล้างสภาพหนี้ การยกเลิกทุนกู้ยืมนักศึกษา เหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องของการช่วยให้สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น แต่จะดีขึ้นอย่างถาวรหรือเปล่าเป็นสิ่งที่บอกได้ยากหลายเรื่องเป็นเพียงการให้ประชาชน แต่ไม่ได้ทำให้ประชาชนเกิดปัญญาหรือความคิดในการที่จะสร้างเงินหรือรายได้ด้วยตัวเองแต่อย่างใด เป็นลักษณะของการแบมือรับเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันก็มีแนวคิดที่จะปรับลดหรือยกเลิกเงินบำนาญของข้าราชการ ที่เคยทำงานรับใช้แผ่นดินอย่างน้อยที่สุดหากจะได้รับบำนาญก็ต้องรับราชการเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 25 ปี โดยใช้คำพูดที่ได้ยินกันทั่วไปว่า เป็นพวกช้างป่วย หมายถึงใช้งานอะไรไม่ได้แล้ว ทำไมจะต้องได้รับเงินค่าตอบแทน
แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะกระทบและเกิดผลเสียต่อประเทศชาติโดยตรง คือเรื่องที่มีการนำเสนอว่า จะแก้กฎหมายต่างๆโดยอ้างว่าเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เรื่องแรกคือเรื่องของการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่ง พรรคการเมืองบางพรรคได้นำเสนอไว้ โดยบอกว่าเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องของความสมัครใจ โดยไม่ได้มองให้ลึกซึ้งถึงความมั่นคงของประเทศชาติแต่อย่างใด เพราะเรื่องของอัตรากำลังพลนั้น กองทัพจะเป็นผู้ที่ทราบดีว่าในสภาพปัจจุบัน ควรจะมีเท่าใด และโดยความจริงการสมัครเข้ารับราชการทหารก็ได้มีอยู่แล้วส่วนหนึ่ง กำลังพลที่มีอยู่อย่างเหมาะสมนั้น ในยามสงครามจะเป็นกองกำลังที่ใช้ในการป้องกันประเทศ และหากแม้ไม่มีสงครามกำลังพลเหล่านี้ก็ยังทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ในการช่วยเหลือภารกิจซึ่งเป็นหน้าที่ของประชาชนส่วนอื่นๆ อาทิในยามที่ต้องการพัฒนาบางสิ่งอย่างรวดเร็ว การช่วยเหลือฟื้นฟูในกรณีที่เกิดสาธารณภัยทั้งหลาย ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
แต่เรื่องที่มีการเสนอโดยพรรคการเมืองบางพรรค และไม่น่าจะยอมรับกันได้เลย คือการเสนอยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 112ที่บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวังโทษจำคุก ตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”ซึ่งโดยความจริงแล้ว หลังการปฏิวัติของคณะราษฎรเมื่อปี 2475 กฎหมายในลักษณะนี้ ก็ได้ถูกบัญญัติไว้แล้ว
หากย้อนไปดูข้อบังคับของพรรคการเมือง ซึ่งอ้างว่าเป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่และมีความคิดที่ก้าวหน้านั้น นักกฎหมายมหาชนท่านหนึ่งที่ได้ต่อสู้เรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด และเป็นผู้ที่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้พิจารณาวินิจฉัยการกระทำของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ได้กล่าวปราศรัยในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2563 โดยเสนอข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นการใช้สิทธิ์หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49วรรคหนึ่งหรือไม่ และศาลได้วินิจฉัยให้ถือว่า การปราศรัยครั้งนั้น เป็นการกระทำที่เป็นการลบล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยนักกฎหมายดังกล่าวยังได้พูดถึงพรรคที่กล่าวถึงนี้ไว้ว่า ได้เขียนข้อบังคับพรรคว่า “การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ” ในขณะที่พรรคอื่นๆ นั้น จะเขียนข้อบังคับว่า “การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาบางอย่าง รวมทั้งกลุ่มผู้ก่อตั้งพรรคก็จะมีการกล่าวในที่สาธารณะ ตลอดจนการเขียนหนังสือที่ส่อถึงเรื่องของการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด
หลังจากออกมาหาเสียงโดยการพูดหาเสียงในหลายพื้นที่ และมีประชาชนจำนวนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการหาเสียง จากการที่จะแก้รัฐธรรมนูญ ที่อาจจะนำไปสู่การล้มล้างสถาบันด้วยการยกเลิกมาตรา 112 เป็นเพียงการแก้เนื้อหาในมาตรา 112 เท่านั้น มีการเสนอว่ากรณีที่มีผู้ถูกกล่าวหา และสอบสวนพิจารณาแล้วว่ามีความผิดจริง ก็ให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และการจะดำเนินคดีได้นั้น สำนักพระราชวังต้องเป็นผู้ร้องทุกข์เท่านั้น อันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและน่าจะเป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาทด้วย
และจะเชื่อได้หรือว่าหากพรรคนี้ได้มีโอกาสบริหารประเทศ จะยังคงยืนยันว่า ไม่มีการยกเลิกมาตรา 112 เพราะเหตุการณ์หลายครั้งก็พิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่ออกจากปากนักการเมืองนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอตามสถานการณ์
สิ่งซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นพิษร้ายของประเทศขณะนี้ คือการที่พรรคการเมืองบางพรรค ได้ใช้กระบวนการสื่อสารออนไลน์ในการเข้าถึงคนกลุ่มคนรุ่นใหม่ หนุ่มสาว วัยรุ่นและเยาวชน ซึ่งกล่าวได้ว่ามีชีวิตอยู่กับสื่อออนไลน์ โดยการปลูกฝังเล่าเรื่องนำเสนอ สิ่งที่ไม่เป็นจริง และในลักษณะที่กล่าวร้ายต่อสถาบันด้วยรูปแบบต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทำให้เยาวชนจำนวนไม่น้อย น่าจะตกเป็นเหยื่อของความเชื่อดังกล่าวได้ เนื่องจากอาจจะไม่ได้นำสิ่งที่ได้รับมานั้น เข้าสู่กระบวนการคิดวิเคราะห์ จนตกอยู่ในหลุมดำของความเชื่อดังกล่าว ซึ่งในระยะยาวจะเป็นอันตรายในกระบวนการความคิดของตัวเอง และต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง
มีการพูดกันมากว่าพรรคการเมืองบางพรรค ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไปสู่ประเทศเสรีนิยม ตามหลังบางประเทศในทวีปยุโรปและทวีปสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปัจจุบันนี้ความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนไม่น้อยในประเทศเหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่ดีมีสุขมากมาย มีการเดินขบวนเรียกร้องกันอยู่ให้เห็นเป็นระยะๆ ทั้งปัญหาเรื่องการว่างงาน มีอาชญากรรมเกิดขึ้นมากมาย รวมทั้งการฆาตกรรมหมู่ก็เป็นข่าวอยู่เนืองๆ
ในระบอบประชาธิปไตยนั้น การเลือกตั้งคือการหาผู้แทนของประชาชน เพื่อเข้าไปทำหน้าที่แทนประชาชนซึ่งเขาเป็นผู้เลือกเข้ามาในการบริหารประเทศ ผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองต่างๆ จึงควรจะต้องปฏิบัติหน้าที่ โดยตั้งมั่นอยู่ในความดี ตั้งใจทำดีโดยไม่ย่อท้อ ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม เน้นในเรื่องของการสร้างความเจริญให้กับประเทศ สร้างความสามัคคีและการอยู่ดีมีสุขของประชาชน เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ มีหิริโอตตัปปะ ไม่โกหก โดยยึดความซื่อสัตย์สุจริตและกตัญญูต่อประเทศชาติ
และที่สำคัญที่สุดคือ มีความรัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง
จึงขอให้ประชาชนชาวไทยได้ร่วมกันพิจารณาในเรื่องนี้ ก่อนที่จะไปใช้สิทธิ์ ลงคะแนนเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ด้วย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร

'นิพิฏฐ์' เตือน 'ทนาย-สว.สำรอง' คดีฮั้ว สว. อย่าประมาทพยานกลับคำ เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
สถานการณ์เริ่มเดือด! เรือจีนออกลาดตระเวนใกล้หมู่เกาะเซ็งกากุ พื้นที่พิพาทระหว่างจีน-ญี่ปุ่น
'ดิเรกฤทธิ์'สุดข้องใจ!!! บางพรรคแปลกมาก ตำหนิ 'นายกฯ' ให้รักษาสัญญากัมพูชา
เกมวัดใจเพื่อไทย! กล้าพอไหมยื่น 151 'เทพไท'ซัดอย่าดีแต่ขู่-ลังเล
ยิปซีพยากรณ์'ดวงรายวัน' ประจำวันจันทร์ 17 พฤศจิกายน 2568

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี