สถานการณ์การกลับมาระบาดของโรคโวิด-19 รอบใหม่ โดยเชื้อสายพันธุ์ XBB.1.16 ที่มีชื่อว่า Arcturus ซึ่งเริ่มต้นจากประเทศอังกฤษ มายังอินเดีย และกระจายไปไหนหลายประเทศทั่วโลกในขณะนี้ดูเหมือนจะไม่รุนแรงนัก ถึงแม้จะมีข้อมูลว่าเชื้อตัวนี้ระบาดได้ง่ายและรวดเร็วก็ตาม จำนวนตัวเลขของผู้ติดเชื้อในประเทศไทยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในรอบสัปดาห์ระหว่างวันที่ 23-29 เมษายนนั้นพบว่ามีจำนวน 1,811 รายโดยมีผู้เสียชีวิตจำนวน 10 ราย มีผู้ป่วยปอดอักเสบ 157 ราย และผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจจำนวน 79 รายตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากรอบสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งมีผู้ป่วยรับไว้ในโรงพยาบาล 1,088 ราย และเสียชีวิต5 ราย คือเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ส่วนในโรงพยาบาลต่างๆ ก็มีผู้เข้ารับการตรวจรักษามากขึ้นพอสมควร สถานการณ์ในขณะนี้จึงถือว่ายังไม่รุนแรงนักหรืออาจจะเรียกได้ว่า เอาอยู่
แต่เรื่องที่อาจจะทำให้เกิดปัญหากับประเทศโดยเฉพาะในระยะยาวก็คือเรื่องของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมนี้หรืออีกเพียง 6 วันนับตั้งแต่วันนี้ไปซึ่งขณะนี้กระบวนการหาเสียงของแต่ละพรรคที่ส่งผู้แทนเข้าสมัครรับเลือกตั้งนั้น มีลักษณะที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลกับประชาชนที่มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พอสมควร
ถึงแม้ว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปตามข้อกำหนดกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแปลว่าระบอบการปกครองที่ถือมติประชาชนเป็นใหญ่ หรือการถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะได้ตัวแทนของประชาชนที่เรียกกันว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งหมด โดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ปี 2560 ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่แล้วนั้น ได้กำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนฯ จำนวน 250 คนร่วมกับสมาชิกวุฒิสภาซึ่งได้รับการแต่งตั้งอีกจำนวน 250 คน โดยอายุของสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้จะหมดลงในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 จึงยังมีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอยู่
จากสภาพการหาเสียงที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะพบว่า แต่ละพรรคการเมืองก็มุ่งที่จะเอาชนะกันคือการที่จะได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าพรรคอื่นๆ จึงนำเสนอนโยบายที่อาจจะเรียกว่าสุดโต่งเพื่อจะจูงใจผู้มีสิทธิ์ออกเสียงไว้ค่อนข้างจะมาก ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการแจกเงินในรูปแบบต่างๆที่อาจจะเรียกว่า สัญญาว่าจะให้ที่อาจจะเป็นความผิดได้ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.จะเป็นผู้พิจารณาตัดสินในกรณีที่มีผู้ร้องเรียน และหากผิดจริงอาจจะมีโทษรุนแรงถึงขั้นยุบพรรค ซึ่งการนำเสนอในรูปแบบนี้มีอยู่มากพอสมควรและหลากหลายวิธีการ ซึ่งจำนวนเงินที่ถูกนำเสนอโดยบางพรรคก็มีจำนวนมาก จนทำให้นักการเงินการธนาคารที่มีความรู้ความชำนาญและมีประสบการณ์บริหารระดับสูงมาก่อน เกิดความวิตกกังวลว่าจะกระทบต่อระบบการเงินการคลังของประเทศได้
เรื่องการแจกเงินนี้ รวมทั้งเรื่องการปรับค่าแรงขั้นต่ำ การเพิ่มเงินเดือนให้กับบัณฑิตปริญญาตรี การล้างสภาพหนี้ การยกเลิกทุนกู้ยืมนักศึกษา เหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องของการช่วยให้สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น แต่จะดีขึ้นอย่างถาวรหรือเปล่าเป็นสิ่งที่บอกได้ยากหลายเรื่องเป็นเพียงการให้ประชาชน แต่ไม่ได้ทำให้ประชาชนเกิดปัญญาหรือความคิดในการที่จะสร้างเงินหรือรายได้ด้วยตัวเองแต่อย่างใด เป็นลักษณะของการแบมือรับเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันก็มีแนวคิดที่จะปรับลดหรือยกเลิกเงินบำนาญของข้าราชการ ที่เคยทำงานรับใช้แผ่นดินอย่างน้อยที่สุดหากจะได้รับบำนาญก็ต้องรับราชการเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 25 ปี โดยใช้คำพูดที่ได้ยินกันทั่วไปว่า เป็นพวกช้างป่วย หมายถึงใช้งานอะไรไม่ได้แล้ว ทำไมจะต้องได้รับเงินค่าตอบแทน
แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะกระทบและเกิดผลเสียต่อประเทศชาติโดยตรง คือเรื่องที่มีการนำเสนอว่า จะแก้กฎหมายต่างๆโดยอ้างว่าเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เรื่องแรกคือเรื่องของการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่ง พรรคการเมืองบางพรรคได้นำเสนอไว้ โดยบอกว่าเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องของความสมัครใจ โดยไม่ได้มองให้ลึกซึ้งถึงความมั่นคงของประเทศชาติแต่อย่างใด เพราะเรื่องของอัตรากำลังพลนั้น กองทัพจะเป็นผู้ที่ทราบดีว่าในสภาพปัจจุบัน ควรจะมีเท่าใด และโดยความจริงการสมัครเข้ารับราชการทหารก็ได้มีอยู่แล้วส่วนหนึ่ง กำลังพลที่มีอยู่อย่างเหมาะสมนั้น ในยามสงครามจะเป็นกองกำลังที่ใช้ในการป้องกันประเทศ และหากแม้ไม่มีสงครามกำลังพลเหล่านี้ก็ยังทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ในการช่วยเหลือภารกิจซึ่งเป็นหน้าที่ของประชาชนส่วนอื่นๆ อาทิในยามที่ต้องการพัฒนาบางสิ่งอย่างรวดเร็ว การช่วยเหลือฟื้นฟูในกรณีที่เกิดสาธารณภัยทั้งหลาย ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
แต่เรื่องที่มีการเสนอโดยพรรคการเมืองบางพรรค และไม่น่าจะยอมรับกันได้เลย คือการเสนอยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 112ที่บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวังโทษจำคุก ตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”ซึ่งโดยความจริงแล้ว หลังการปฏิวัติของคณะราษฎรเมื่อปี 2475 กฎหมายในลักษณะนี้ ก็ได้ถูกบัญญัติไว้แล้ว
หากย้อนไปดูข้อบังคับของพรรคการเมือง ซึ่งอ้างว่าเป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่และมีความคิดที่ก้าวหน้านั้น นักกฎหมายมหาชนท่านหนึ่งที่ได้ต่อสู้เรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด และเป็นผู้ที่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้พิจารณาวินิจฉัยการกระทำของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ได้กล่าวปราศรัยในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2563 โดยเสนอข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นการใช้สิทธิ์หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49วรรคหนึ่งหรือไม่ และศาลได้วินิจฉัยให้ถือว่า การปราศรัยครั้งนั้น เป็นการกระทำที่เป็นการลบล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยนักกฎหมายดังกล่าวยังได้พูดถึงพรรคที่กล่าวถึงนี้ไว้ว่า ได้เขียนข้อบังคับพรรคว่า “การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ” ในขณะที่พรรคอื่นๆ นั้น จะเขียนข้อบังคับว่า “การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาบางอย่าง รวมทั้งกลุ่มผู้ก่อตั้งพรรคก็จะมีการกล่าวในที่สาธารณะ ตลอดจนการเขียนหนังสือที่ส่อถึงเรื่องของการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด
หลังจากออกมาหาเสียงโดยการพูดหาเสียงในหลายพื้นที่ และมีประชาชนจำนวนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการหาเสียง จากการที่จะแก้รัฐธรรมนูญ ที่อาจจะนำไปสู่การล้มล้างสถาบันด้วยการยกเลิกมาตรา 112 เป็นเพียงการแก้เนื้อหาในมาตรา 112 เท่านั้น มีการเสนอว่ากรณีที่มีผู้ถูกกล่าวหา และสอบสวนพิจารณาแล้วว่ามีความผิดจริง ก็ให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และการจะดำเนินคดีได้นั้น สำนักพระราชวังต้องเป็นผู้ร้องทุกข์เท่านั้น อันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและน่าจะเป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาทด้วย
และจะเชื่อได้หรือว่าหากพรรคนี้ได้มีโอกาสบริหารประเทศ จะยังคงยืนยันว่า ไม่มีการยกเลิกมาตรา 112 เพราะเหตุการณ์หลายครั้งก็พิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่ออกจากปากนักการเมืองนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอตามสถานการณ์
สิ่งซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นพิษร้ายของประเทศขณะนี้ คือการที่พรรคการเมืองบางพรรค ได้ใช้กระบวนการสื่อสารออนไลน์ในการเข้าถึงคนกลุ่มคนรุ่นใหม่ หนุ่มสาว วัยรุ่นและเยาวชน ซึ่งกล่าวได้ว่ามีชีวิตอยู่กับสื่อออนไลน์ โดยการปลูกฝังเล่าเรื่องนำเสนอ สิ่งที่ไม่เป็นจริง และในลักษณะที่กล่าวร้ายต่อสถาบันด้วยรูปแบบต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทำให้เยาวชนจำนวนไม่น้อย น่าจะตกเป็นเหยื่อของความเชื่อดังกล่าวได้ เนื่องจากอาจจะไม่ได้นำสิ่งที่ได้รับมานั้น เข้าสู่กระบวนการคิดวิเคราะห์ จนตกอยู่ในหลุมดำของความเชื่อดังกล่าว ซึ่งในระยะยาวจะเป็นอันตรายในกระบวนการความคิดของตัวเอง และต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง
มีการพูดกันมากว่าพรรคการเมืองบางพรรค ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไปสู่ประเทศเสรีนิยม ตามหลังบางประเทศในทวีปยุโรปและทวีปสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปัจจุบันนี้ความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนไม่น้อยในประเทศเหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่ดีมีสุขมากมาย มีการเดินขบวนเรียกร้องกันอยู่ให้เห็นเป็นระยะๆ ทั้งปัญหาเรื่องการว่างงาน มีอาชญากรรมเกิดขึ้นมากมาย รวมทั้งการฆาตกรรมหมู่ก็เป็นข่าวอยู่เนืองๆ
ในระบอบประชาธิปไตยนั้น การเลือกตั้งคือการหาผู้แทนของประชาชน เพื่อเข้าไปทำหน้าที่แทนประชาชนซึ่งเขาเป็นผู้เลือกเข้ามาในการบริหารประเทศ ผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองต่างๆ จึงควรจะต้องปฏิบัติหน้าที่ โดยตั้งมั่นอยู่ในความดี ตั้งใจทำดีโดยไม่ย่อท้อ ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม เน้นในเรื่องของการสร้างความเจริญให้กับประเทศ สร้างความสามัคคีและการอยู่ดีมีสุขของประชาชน เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ มีหิริโอตตัปปะ ไม่โกหก โดยยึดความซื่อสัตย์สุจริตและกตัญญูต่อประเทศชาติ
และที่สำคัญที่สุดคือ มีความรัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง
จึงขอให้ประชาชนชาวไทยได้ร่วมกันพิจารณาในเรื่องนี้ ก่อนที่จะไปใช้สิทธิ์ ลงคะแนนเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ด้วย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี