สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 จ.เชียงใหม่ ชวนรู้จักกับ 3 วิสาหกิจชุมชนด้านการเกษตร ที่ร่วมงานจำหน่ายไม้ผลอัตลักษณ์ข้ามถิ่นและของดีภาคเหนือ ครั้งที่ 2 “Northern Fruit Festival”
วันที่ 29 ส.ค.66 นายเรืองพจน์ ธารานาถ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ได้จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไม้ผลอัตลักษณ์ข้ามถิ่นและของดีภาคเหนือครั้งที่ 2 “Northern Fruit Festival” เพื่อประชาสัมพันธ์และกระจายผลผลิตไม้ผลและผลิตภัณฑ์ของภาคเหนือ สู่ผู้บริโภคในภูมิภาคอื่นของประเทศ ณ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ โคราช ระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคม 2566 มีผู้ประกอบการจากวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือมาร่วมจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คุณภาพในราคาย่อมเยา
ทั้งนี้ จะพาไปรู้จักตัวอย่างวิสาหกิจชุมชนที่มาร่วมงานในครั้งนี้ 3 กลุ่ม ดังนี้ 1.วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์และการแปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตร อ.ศรีนคร จ.สุโขทัย ก่อนที่จะมาเป็นวิสาหกิจชุมชนฯ แห่งนี้ได้มีการรวมกลุ่มกันของเกษตรกรในพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2557 แล้ว โดยมีจุดเริ่มต้นจากคุณนงค์รัก แสนอุบล ประธานวิสาหกิจชุมชนนำมะม่วงจากสวนของตนเองที่ไม่ผ่านเกณฑ์การซื้อขายมาแปรรูปเป็นมะม่วงกวนจำหน่าย จากนั้นได้ชักชวนชาวบ้านที่มีเวลาว่างมาช่วยโดยให้ค่าจ้างตอบแทน ขณะเดียวกันก็ได้รับซื้อผลไม้จากเกษตรกรในราคาแพงกว่าตลาดเพื่อนำมาทำผลิตภัณฑ์แปรรูป กระทั่งปี 2563 ได้ทำการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนฯ ทำให้การดำเนินการต่าง ๆ มีระบบมากขึ้น มีการนำผลิตภัณฑ์จดทะเบียนอย. และมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายต่อเนื่องตลอดทั้งปี ได้แก่ มะม่วงกวนกะทิสด ส้มลิ้มหรือมะม่วงกวนแบบแผ่น กล้วยตาก และกล้วยม้วน โดยใช้มะม่วงโชคอนันต์ มะม่วงแก้วขมิ้น และกล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง โดยเฉลี่ยแต่ละเดือนมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปทั้งกล้วยและมะม่วงรวมกัน 600-700 กิโลกรัม ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นร้านจำหน่ายของฝากในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปพาสเจอร์ไรซ์ เนื่องจากมีคู่ค้าธุรกิจสายการบินให้ความสนใจนำไปบริการให้กับผู้โดยสารบนเครื่องบิน แต่กระบวนการมีต้นทุนสูง จึงอาจต้องมีการร่วมมือหรือรับการสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งนี้ หากนำผลิตภัณฑ์ไปให้บริการผู้โดยสารสายการบินซึ่งจะมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ ก็จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น สมาชิกวิสาหกิจและเกษตรกรที่เป็นคู่ค้าก็จะมีรายได้มากขึ้นตามไปด้วย
2.วิสาหกิจชุมชนฝรั่งอินทรีย์บ้านตะคร้อ อ.เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์ จุดเริ่มต้นจากคุณปรียาณัชก์ แจ่มไทย ซื้อฝรั่งมารับประทานและนำไปเป็นของฝากให้กับญาติ แล้วพบว่าฝรั่งที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปใช้ยาฆ่าแมลง ด้วยความที่ตนเองมีที่ดินและทำเกษตรผสมผสานอยู่แล้ว ประกอบกับที่บ้านเป็นศูนย์ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสารชีวภาพที่ใช้ในการเกษตร จึงตัดสินใจปลูกฝรั่งไว้บริโภคเองบนพื้นที่ 3 ไร่ ต่อมามีโอกาสนำฝรั่งไปขายที่ตลาดประชารัฐ และมีการสุ่มตรวจหาสารเคมีในสินค้าจากร้านค้าต่าง ๆ ที่นำมาจำหน่าย รวมถึงฝรั่งของคุณปรียาณัชก์ด้วย ปรากฎไม่พบว่ามีสารเคมี ก็ถูกนำไปเผยแพร่ผ่านนิตยสาร ส่งผลให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และเริ่มนำฝรั่งไปขายในงานต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ต่อมาได้ขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 11 ไร่ 1 งาน และจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนในปี 2561 พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปออกมาจำหน่าย ประกอบด้วย น้ำฝรั่ง ฝรั่งอบแห้ง ข้าวเกรียบฝรั่ง รวมถึงสบู่จากใบฝรั่ง ทั้งนี้ เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้กับสมาชิกในกลุ่มวิสาหกิจเพิ่มมากขึ้น และคาดหวังว่าจะผลักดันเป็นสินค้าส่งออกได้ในอนาคต ทั้งนี้เป็นสายพันธุ์ “ฝรั่งพันธุ์แจ่มไทย” ตั้งชื่อนามสกุลของคุณปรียาณัชก์ ซึ่งได้จากการผสามผสานสายพันธุ์และพัฒนาจนได้ฝรั่งที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ผลใหญ่ เนื้อกรอบฟู มีการใช้เทคนิคพิเศษที่ทำให้เนื้อไม่กระด้าง ที่สำคัญเป็นฝรั่งอินทรีย์ปลอดสารเคมีทุกขั้นตอน
3.เกษตรกรแปลงใหญ่ลำไย อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เกิดจากเกษตรกรชาวสวนลำไยในอ.จอมทอง มารวมกลุ่มกันจำนวน 250 ราย ข้อดีของการจัดตั้งกลุ่มคือทำให้มีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น มีระบบบริหารจัดงานชัดเจน มีเงินปันผล รายได้เกษตรมั่นคงยิ่งขึ้น มีตลาดรองรับการจำหน่ายผลผลิตแน่นอน รวมถึงได้รับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งลำไยที่ปลูกเป็นลำไยพันธุ์อีดอ จุดเด่นคือผลใหญ่ เม็ดในเล็ก หวานกรอบ ไม่ฉ่ำน้ำ ฤดูกาลออกผลผลิตจะอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน ส่วนลำไยนอกฤดูกาลจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม-มีนาคม เรียกได้ว่ามีผลผลิตตลอดทั้งปี โดยผลผลิตจะคัดลำไยเกรดพรีเมียมขายในประเทศ 30% ส่วนที่เหลืออีก 70% ส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม สิงคโปร์ และพม่าเล็กน้อย ผู้บริโภคในประเทศจึงได้บริโภคลำไยที่มีคุณภาพในราคาย่อมเยา ยอดขายลำไยเฉลี่ยต่อปีของสมาชิกทั้งหมดในกลุ่มอยู่ที่ 1,875 ตัน โดยปีนี้มีราคาขายไม่ต่ำกว่า 35 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ราคาขายไม่ต่ำกว่า 25 บาท/กิโลกรัม เนื่องจากปีนี้ประสบภัยแล้งและน้ำท่วม ทำให้มีผลผลิตออกมาน้อย ราคาขายจึงมากขึ้น อีกทั้งปีที่ผ่านมายังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ตลาดส่งออกยังเปิดไม่มากนัก ราคาขายจึงต่ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี