ศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ มูลนิธิไทย กระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดงานสัมมนาวิชาการ “เสน่ห์สุนทรียภาพกับการทูตศิลปะของไทย” ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 9 โรงแรมโนโวเทลกรุงเทพ เพลินจิต สุขุมวิท เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม เวลา 13.00-15.45 น.ที่ผ่านมา งานนี้ได้รับความสนับสนุนจากโครงการวิจัย “แนวทางส่งเสริมภาพยนตร์เพื่อความมั่นคงยุคหลังโควิด” ทุน Fundamental Fund และกองทุนรัชดาภิเษกสมโภช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.ฐณยศ โล่ห์พัฒนานนท์ นักวิจัยด้านวัฒนธรรมสัมพันธ์กับความมั่นคงเอเชีย ศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา ได้กล่าวบรรยายในหัวข้อ “เสน่ห์สุนทรียภาพกับการทูตร่วมสมัย” โดยอิงกรณีศึกษาประเทศจีน โดยระบุว่า Soft Power ยุคปัจจุบันไม่ได้ผูกขาดเพียงแค่ความบันเทิง หรือ การทูตตามธรรมเนียมนิยม แต่มีความพยายามใช้งานศิลปะในกรอบ Soft Power มากขึ้นตามลำดับ จีนคือหนึ่งในชาติที่ใช้ประโยชน์จากศิลปะอย่างน่าจับตา เพราะจีนมีความต้องการขยายความเชื่อมโยงกับนานาชาติเพื่อสร้างเครือข่ายการค้า/การลงทุนและจีนมองว่า ศิลปะจะช่วยให้เกิดการยอมรับได้ดี วิธีการของจีนมีตั้งแต่การแลกเปลี่ยนความรู้ไปจนถึงการเปลี่ยนศิลปะจากงานเฉพาะกลุ่มให้เป็นงานแมส โดยเฉพาะการผลิตวีดิทัศน์สำหรับเผยแพร่ออนไลน์ หากไล่ดูในแพลตฟอร์ม เช่น YouTube, Facebook Reels, Instagram จะพบว่า วีดิทัศน์ดังกล่าวของจีนมีจำนวนมากและได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง งานแต่ละอย่างมุ่งนำเสนอประเพณี สังคมและศิลปะจีนอย่างละมุนละไม งานยอดนิยมประกอบไปด้วยวีดิทัศน์วิถีชนบทของช่อง หลี จื่อชี / Liziqi หรือ ศิลปะกำยานโบราณของช่อง gharu-wood ที่มีผู้ติดตามกว่า 6 แสนคน
น่าสนใจที่วิธีการนี้ของจีนไม่เพียงแต่เปิดมุมมองการทูตศิลปะ แต่ยังทำให้เกิดศาสตร์ภาพเคลื่อนไหวชนิดใหม่ เรียกว่า Moving Art หรือก็คือ ศิลปะที่เคลื่อนไหวได้ Moving Art ต่างจากภาพยนตร์ทั่วไปตรงที่มีขนาดสั้น ไม่ได้ต้องการเรื่องราว ตัวละคร รวมทั้งประเด็นขัดแย้งเหมือนใน feature film ส่วนใหญ่ Moving Art นำเสนอกระบวนการทางศิลปะ หรือ ความเป็นไปใดๆ อย่างมีสุนทรียภาพ ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกงดงาม สบายใจ ผู้ชมจะเชื่อในความมีอารยธรรมของสังคมผู้เผยแพร่เพราะสัมผัสความละเมียดละไมของเนื้องาน และนั่นทำให้ภาพลักษณ์ของจีนดูโดดเด่นในฐานะชาติผู้ครองอารยธรรมทางความคิดจิตใจ ในสายตาของดร.ฐณยศ ประเทศไทยควรให้ความสำคัญแก่ศาสตร์ด้าน Moving Art รวมทั้งการเผยแพร่ศิลปะทุกแขนงผ่านช่องทางผสมผสานโดยอาจถอดบทเรียนจากกรณีของจีน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาดา เตรียมวิทยา อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวเสริมว่า จริง ๆ แล้วจีนมีการใช้ Soft Power มานานนับกว่า 5,000 ปี เช่น การเผยแพร่แนวคิดคำสอนของขงจื่อไปยังเพื่อนบ้าน หรือ การมอบแพนด้าเป็นของขวัญทางการทูตแก่ญี่ปุ่นในยุคราชวงค์ถัง เป็นต้น
ในยุคปัจจุบัน จีนมีความชัดเจนเรื่อง soft power ดังที่อ.ฐณยศกล่าวว่า เพื่อสนับสนุนโครงข่ายการค้าของจีน โดยจีนใช้ 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1) วัฒนธรรมและภาษาจีนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่คนต่างชาติสนใจศึกษา ทั้งวัฒนธรรมและภาษาจีนจึงจัดเป็น soft power ที่ทรงพลังแห่งศตวรรษ 2) นโยบายต่างประเทศโดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแง่บวก รวมทั้งสร้างสรรค์พลวัตทางการเมือง เศรษฐกิจ และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้จีนเป็นที่ยอมรับมากขึ้น จีนยังสนับสนุนหน่วยสินค้าส่งออกกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์สู่ประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายในการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ 2035
โดยจีนมีนโยบายทำให้สังคมจีนเต็มไปด้วยความทันสมัยแม้อยู่ในระบอบสังคมนิยม กล่าวคือ มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และยกระดับสมรรถนะตามแนวคิด “ความฝันของจีน” เชื่อกันว่า กระบวนการเหล่านี้จะทำให้จีนได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนานวัตกรรม รวมทั้งเป็นประเทศที่เดินหน้าด้วยความทันสมัยจนเป็นแดนดินอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
งานสัมมนานี้ยังได้รับเกียรติจาก อาจารย์กมลศิริ วงศ์หมึก คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) มาบรรยายหัวข้อ “อัตลักษณ์ไทยสู่ศิลปะสัมพันธ์” อาจารย์กมลศิริ กล่าวว่า “ในอดีตที่ผ่านมาการย้ายถิ่นฐานทำให้เกิดการหลอมรวมลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมจากหลากหลายแหล่งจนกลายเป็นตัวตนประจำถิ่นไทย แต่ยังมีความคล้ายคลึงกับพื้นที่บริเวณอื่นซึ่งภายหลังเป็นพื้นที่ของประเทศอื่น จึงมีประเด็นในเรื่องความเป็นไทยไม่มีอยู่จริง หากแต่การใช้ AI ประมวลผลภาพคำสำคัญเรื่องอัตลักษณ์ไทย จากสิ่งที่ถูกถ่ายทอดกระจายอยู่ทั่วไปบนโลกออนไลน์ ผลที่ได้คือภาพที่แสดงถึงสิ่งที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมไทยที่เรารับรู้กัน นั่นแสดงถึงการรับรู้อัตลักษณ์ไทยในวงกว้างที่เป็นสากล สิ่งที่หล่อหลอมความเป็นอัตลักษณ์ไทยคือมรดกทางวัฒนธรรม และงานศิลปะด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรม ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม นาฏกรรม ผ้าทอไทย อาหารฯลฯ ที่ผ่านมาความเป็นอัตลักษณ์ไทยได้ถูกสื่อสารไปยังสากลผ่านช่องทางต่างๆซึ่งถือว่าเป็น Resource of Soft Power ของความเป็นไทยที่เด่นชัด
ทั้งยังจับใจคนต่างวัฒนธรรมได้ในหลายโอกาส การสืบทอดศิลปวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่นคือการถ่ายทอด การเรียนรู้ การปรับแต่ง ตีความหมายใหม่ สร้างสรรค์และสื่อความหมายใหม่ตามบริบทที่เปลี่ยนไป ศิลปะมีบทบาทมากกับการเชื่อมโยงสื่อสารวัฒนธรรม จากเดิมที่ศิลปะถ่ายทอดเรื่องราวของราชสำนัก ศาสนา งานพุทธศิลป์ ศิลปะเพื่อนำเสนอความเจริญ ทันสมัยในช่วงที่รับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา จนเข้าสู่ระบบการปกครองแบบใหม่ ศิลปะถ่ายทอดความเป็นรัฐและระบอบใหม่ และภายหลังศิลปะมีบทบาทเพื่อประชาชน และเข้ามามีส่วนร่วมต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และอยู่รอบตัวประชาชนในชีวิตประจำวัน เข้าถึงคนมากขึ้น
เห็นได้ว่าศิลปะเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ที่สื่อสารเรื่องราวรอบตัว เป็นภาษาสากลที่สามารถใช้สื่อสารระหว่างคนแต่ละเชื้อชาติ แต่ละพื้นที่ แต่ละเจเนอเรชั่น ความเป็นไทยไม่ได้อยู่เพียงแค่ในราชสำนักหรือวัด หากแต่วัฒนธรรมแต่ละภูมิภาคก็มีคุณค่าที่ส่งต่อกันมาหลายร้อยปี การดึงอัตลักษณ์ที่มีเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่โดยใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงและสื่อสารจะเป็นวิธีการสร้างให้คนรับรู้อัตลักษณ์ของชุมชนในวงกว้างและมีโอกาสปรับใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ การใช้มุมมองทางศิลปะลดทอน ดัดแปลงความเป็นไทย สามารถสร้างให้เกิดความเป็น Pop Culture การสร้างความร่วมมือ (collaboration) กับแบรนด์ต่างประเทศโดยใช้ทักษะศิลปะและการออกแบบจะทำให้แบรนด์มีเสน่ห์ที่ต่างไปจากเดิม และความเป็นไทยถูกมองในมุมที่น่าสนใจ เข้าถึงง่าย และนำไปสู่การสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ระดับสากลด้วยลักษณะไทย”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี