ส่องกระแสการท่องเที่ยวไทย หลังไทยให้ฟรีวีซ่า ช่วงหยุดยาวของจีน
วันจันทร์ ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2566, 14.26 น.
โดย อาจารย์เอกรัตน์ จันทร์รัฐิติกาล ผู้อำนวยการสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล (ฝ่ายไทย)
หลังจากที่รัฐบาลไทยได้ประกาศใช้นโยบายฟรีวีซ่ากับนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมานั้น เที่ยวบินแรกพร้อมผู้โดยสารจากนครคุนหมิง มณฑลหยุนหนาน ได้พานักท่องเที่ยวรุ่นปฐมฤกษ์ของฟรีวีซ่ากว่า 180 คนมาลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ซึ่งในวันนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดการต้อนรับอย่างอบอุ่่น ในทุกท่าอากาศยานนานาชาติ อันได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ และท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ซึ่งเป็นการแสดงถึงความมีมิตรจิตมิตรใจของเจ้าของประเทศในการต้อนรับประชาชนชาวจีนซึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับไทยมาอย่างช้านาน ดังคำกล่าวที่คุ้นเคยที่ว่า “ไทยจีนมิใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”
ซึ่งจากการเก็บสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของนครคุนหมิงระบุว่า เมื่อวันที่ 25 กันยายน มีเที่ยวบินจากคุนหมิงมาไทย 5 เที่ยวบิน โดย 3 เที่ยวบินแรกเป็นเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ อีก 2 เที่ยวบิน เป็นเที่ยวบินคุนหมิง-เชียงใหม่ และ คุนหมิง-ภูเก็ต ตามลำดับ ซึ่งในเที่ยวบินทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มีผู้โดยสารเป็นจำนวนมากกว่า 700 คน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญมาก หากเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาประเทศไทยในช่วงก่อนนโยบายฟรีวีซ่า
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 การท่องเที่ยวระหว่างประเทศถือเป็นปัจจัยหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อสถานการณ์โรคระบาดทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลๆ ชาติได้ประกาศปิดประเทศ งดการท่องเที่ยว ธุรกิจแทบทุกภาคส่วนก็กลับพังทลายลง ทำให้ GDP ของประเทศไทยในปี 2565 ที่ผ่านมา เติบโตเพียง 2.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
นักวิชาการด้านเศรษฐกิจได้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ที่ 3.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ต้องพึ่งพาแรงผลักดันจากการบริโภคของภาคเอกชนและการท่องเที่ยว โดยการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ณ วันนี้ยังห่างไกลจากจุดเดิมอยู่มาก
เพราะหากเราจะคาดหวังให้การกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเหมือนกับในช่วงก่อนการเกิดโรคระบาดโควิด-19 นั้น น่าจะต้องใช้เวลาถึงปี 2567 แต่ถึงกระนั้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังคงต่ำกว่าในปี 2562 อยู่ดี สืบเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก กับทั้งภาวะความขัดแย้งทางการเมือง และ สงครามในหลายประเทศที่ทำให้เศรษฐกิจโลกในภาพรวมได้รับผลกระทบไปโดยปริยาย
ด้วยบริบทแวดล้อมทั้งหลายเหล่านี้การใช้นโยบายฟรีวีซ่าของประเทศไทยจึงเป็นหนึ่งในวิธีการที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมให้เติบโตขึ้น เพื่อทำให้สภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจท่องเที่ยวทั้งในกรุงเทพฯและจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆฟื้นตัวให้กลับมาใกล้เคียงหรือดีขึ้นกว่าเดิม
แม้จะมีความเป็นห่วงจากหลายภาคส่วนในเรื่องฟรีวีซ่า แต่กระนั้นรัฐบาลของไทย-จีนทั้งสองประเทศได้ร่วมมือกันจัดการเรื่องนี้อย่างเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด หากจะมีปัญหาบ้างก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลของสองประเทศสามารถร่วมมือกันหาทางแก้ไขปัญหากันได้ โดยสิ่งที่สำคัญที่ทุกคนควรจะให้ความสนใจมากกว่าตัวปัญหา คือการให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ที่ไม่ดูดายหรือกล่าวโทษอีกฝ่าย อันแสดงถึงมิตรภาพที่ดีในฐานะบ้านพี่เมืองน้องของไทยและจีน
โดยหากมองไปที่ระยะยาว หลักการท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นกว่าเดิม ปากท้องประชาชนดีขึ้น เศรษฐกิจของประเทศก็จะเติบโตตามไปด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ดีต่อภาพรวมของประเทศไทยไปด้วย ซึ่งล่าสุดนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทย ได้เปิดเผยขณะเยือนกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในพิธีลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (letter of intent : LOI) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ 8 พันธมิตรบริษัทด้านสื่อและท่องเที่ยวรายใหญ่ของจีนว่า ตามที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้มีมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (visa exemption) ให้นักท่องเที่ยวจีนไปตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ไปจนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมให้การเดินทางไปมาระหว่าง 2 ประเทศดียิ่งขึ้น โดยระยะต่อไปที่กำลังพิจารณาอยู่คือ มีแผนจะยกเว้นวีซ่าให้ชาวจีนเป็นการถาวร ซึ่งการเปิดเผยดังกล่าวทำให้กระแสการท่องเที่ยวไทย-จีนคึกคักขึ้นมาอย่างทันตา และต่างรอคอยผลการหารือ ของนายกรัฐมนตรีของไทย ที่ได้หารือทวิภาคีกับนายหลี เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ในเรื่องฟรีวีซ่าฝั่งคนไทยไปจีนด้วย