อยากซื้อคอนโดต้องมีเงินเท่าไหร่? แชร์เทคนิคเก็บเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือน พร้อมสเต็ปวางแผนการเงิน เคลียร์หนี้ และยื่นกู้ให้ผ่านง่าย

อยากมีคอนโดเป็นของตัวเองไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน โดยเฉพาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ประจำและวินัยทางการเงินที่ดี หากวางแผนเก็บเงินอย่างเป็นระบบ รู้จักเตรียมความพร้อมให้ถูกจุด ก็สามารถซื้อคอนโดเป็นของตัวเอง ได้ไม่ยาก บทความนี้จะพาไปดูว่าต้องมีเงินเท่าไหร่ ต้องเริ่มจากอะไร และเก็บเงินยังไงให้พร้อมยื่นกู้ผ่านง่ายขึ้น ไปดูกันเลย!  

ซื้อคอนโด ต้องเตรียมเงินก้อนเท่าไหร่?

ก่อนจะเริ่มต้นเก็บเงิน สิ่งแรกที่ต้องรู้ คือการซื้อคอนโด หนึ่งห้องนั้น มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เพราะไม่ได้มีแค่ราคาห้องเท่านั้น แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ต้องเตรียมให้พร้อม ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้

1. เงินดาวน์คอนโด เงินก้อนแรกที่ต้องจ่ายเพื่อยืนยันการจองและทำสัญญา โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 5 - 10% ของราคาขายคอนโด การมีเงินดาวน์ที่สูงจะช่วยให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อง่ายขึ้นและทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง
2. ค่าใช้จ่ายก่อนโอนกรรมสิทธิ์ ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักเกิดขึ้นระหว่างการยื่นกู้ เช่น ค่าประเมินมูลค่าหลักทรัพย์โดยธนาคาร ประมาณ 2,000 - 3,000 บาท และค่าอากรแสตมป์บนสัญญาเงินกู้
3. ค่าใช้จ่าย ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ เงินก้อนใหญ่ที่ต้องเตรียมให้พร้อมสำหรับจ่ายที่กรมที่ดิน ซึ่งในปี 2568 นี้ มีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จากทางภาครัฐ โดยมีนโยบายลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง เหลือเพียง 0.01% สำหรับการซื้อคอนโดในราคาที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย และกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายในตลาดอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง และยังรวมไปถึงค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ของโครงการอีกด้วย 
4. ค่าใช้จ่ายหลังโอน หลังจากได้เป็นเจ้าของคอนโดแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมสำรองไว้ เช่น ค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายล่วงหน้า 1 - 2 ปี, ค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า-น้ำ และงบประมาณสำหรับตกแต่งห้องและซื้อเฟอร์นิเจอร์

ต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะกู้ซื้อคอนโดได้?

คำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยว่า ต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ ถึงจะซื้อคอนโดได้นั้น เบื้องต้นให้พิจารณาจาก หลักการที่ธนาคารใช้ประเมินความสามารถในการผ่อน คือภาระหนี้ทั้งหมดของผู้กู้ รวมยอดผ่อนคอนโดใหม่ ไม่ควรเกิน 40 - 50% ของรายได้ต่อเดือน หรือที่เรียกว่า DSR (Debt Service Ratio) ดังนั้น คนที่จะซื้อคอนโดได้นั้น จึงไม่ใช่แค่คนที่มีเงินเดือนสูง แต่คือคนที่มีภาระหนี้สินน้อยและมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีนั่นเอง

5 สเต็ปเก็บเงินและเตรียมตัวให้พร้อมยื่นกู้

เมื่อรู้ค่าใช้จ่ายและประเมินความสามารถของตัวเองแล้ว ก็ถึงเวลาเข้าสู่ภารกิจเก็บเงินและเตรียมความพร้อมเพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายการซื้อคอนโดให้สำเร็จ ด้วย 5 สเต็ปง่าย ๆ ที่ทำตามได้จริง ดังนี้

1. ตั้งเป้าหมายราคาคอนโดที่ต้องการ

จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด คือการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ลองสำรวจราคาคอนโดในทำเลที่สนใจ เพื่อกำหนดงบประมาณที่เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนของตัวเอง เมื่อมีตัวเลขที่ชัดเจนแล้ว การวางแผนเก็บเงินสำหรับซื้อคอนโดในฝันก็จะมีทิศทางมากขึ้น 

2. วางแผนทางการเงิน

เริ่มทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อดูว่าในแต่ละเดือนมีเงินคงเหลือสำหรับออมเท่าไหร่ จากนั้นให้ตั้งเป้าหมายการออมที่แน่นอน เช่น หักเงิน 20% ของเงินเดือนเข้าบัญชีเงินออมสำหรับคอนโดโดยเฉพาะทันทีที่เงินเดือนออก วิธีนี้จะช่วยสร้างวินัยและทำให้เห็นความก้าวหน้าของเงินเก็บได้ชัดเจน 

3. เคลียร์หนี้เก่า

ภาระหนี้สิน โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยสูง คืออุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อ ควรวางแผนจัดการหนี้เหล่านี้ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนอกจากจะช่วยให้มีเงินออมเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้โปรไฟล์ทางการเงินดูดีในสายตาของธนาคารอีกด้วย 

4. รักษาเครดิตบูโรให้สวยงาม

เครดิตบูโร คือบันทึกประวัติการชำระหนี้ทั้งหมดของเรา ซึ่งธนาคารจะใช้เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ดังนั้น ต้องรักษาประวัติให้ดีโดยการชำระหนี้ทุกอย่างให้ตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 12 - 24 เดือนก่อนวางแผนจะยื่นกู้ซื้อคอนโด

5. มองหาช่องทางสร้างรายได้เสริม

หากรู้สึกว่า เงินออมจากงานประจำอาจไม่ทันใจ ลองมองหารายได้เสริมจากความถนัดหรืองานอดิเรกก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นงานฟรีแลนซ์ ขายของออนไลน์หรือรับงานพิเศษในวันหยุด ทุกรายได้ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเร่งสปีดให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น 

สรุปบทความ

การเก็บเงินเพื่อซื้อคอนโด อาจต้องใช้ทั้งเวลาและความอดทน แต่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับมนุษย์เงินเดือน เพียงแค่เริ่มต้นจากการวางแผนที่ดี ทำความเข้าใจค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างละเอียด มีวินัยในการออมและจัดการหนี้สินอย่างเป็นระบบ ควบคู่ไปกับการรักษาเครดิตทางการเงินให้ดีอยู่เสมอ เพียงเท่านี้ ความฝันที่จะได้เป็นเจ้าของคอนโดหลังแรกก็อยู่ไม่ไกลเกินความพยายามอย่างแน่นอน