5 เดือนบนหลังม้า กับ โฟโต้–อภิวัฒน์ นศ.ศิลปศาสตร์ DPU มุ่งเติบโตค้นหาศักยภาพในตัวเอง

5 เดือนบนหลังม้า กับ โฟโต้–อภิวัฒน์ นศ.ศิลปศาสตร์ DPU มุ่งเติบโตค้นหาศักยภาพในตัวเอง

วันพุธ ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 17.03 น.
Tag :

จากเด็กหนุ่มธรรมดาวัย 18 ปี ที่เคยเดินตามสูตรสำเร็จของสายวิทย์–คณิตฯ แต่การตัดสินใจหักเลี้ยวเข้าสู่คณะศิลปศาสตร์ DPU นำพาเขาไปสู่โลกหลังอานม้า “โฟโต้–อภิวัฒน์ อ่ำบัว” ได้ค้นพบนิยามแห่งวินัยกับหัวใจอาสาของอาชาบำบัด เขาใช้ทุกก้าวของม้าเป็นบทเรียนอันล้ำค่า เรียนรู้ที่จะกุมบังเหียน เปลี่ยนจุดหักเลี้ยววัยหนุ่มสู่วิถีที่แน่วแน่ เพื่อเดินบนเส้นทางที่เลือกเองอย่างภาคภูมิใจ

ใครที่คลุกคลีตีโมงอยู่กับแวดวงกีฬาขี่ม้า ย่อมคุ้นเคยกับเกียรติประวัติอันโอ่อ่าและคุณประโยชน์อันลือชาของม้า สัตว์สี่ขาที่ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสัตว์เทพตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและสง่างาม


แต่สำหรับคนนอกอย่างเรา ๆ นอกจากจะทราบว่าม้าหรืออาชามีวิวัฒนาการเปลี่ยนผ่านจากพาหนะสู่กีฬาแล้ว อาจไม่รู้ว่า ‘ม้า’ ยังช่วยบำบัดฟื้นฟู หรือที่เรียกว่า การบำบัดด้วยม้า (Equine therapy) เชื่อมระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรง ขณะเดียวกันก็หล่อหลอมสมาธิที่มั่นคงและลึกซึ้ง

“อภิวัฒน์ อ่ำบัว” หรือ “น้องโฟโต้” นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) วัย 18 ปี คือตัวอย่างชัด ๆ ว่าม้าเปลี่ยนชีวิตคนได้จริง ย้อนกลับไปเมื่อ 5 เดือนก่อน เขายังเป็นแค่เด็กนักเรียนที่เพิ่งจบ ม.6 และตัดสินใจเปลี่ยนจากสายวิทย์–คณิตที่ทุกคนบอกว่ามั่นคง มาเรียนภาษา ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ถนัด และเต็มไปด้วยความกังวล

จนกระทั่งได้มีโอกาสไปดูการแข่งขันขี่ม้าประเภท Endurance ภาพของคนกับม้าที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่น ความเชื่อใจ และมิตรภาพ ร่วมกันบุกป่าฝ่าดงบนถนนอุปสรรคอันยาวไกล ได้เข้ามาทักทาย ปลุกให้ลุกขึ้นมาลองพิสูจน์ตัวเองในโลกของการขี่ม้า

เพียงไม่กี่เดือนถัดมา โฟโต้กลายเป็นนักศึกษาอายุ 18 ปีที่มีตารางชีวิตแน่นขนัด ช่วงเช้าสำหรับเรียนภาษา ช่วงเย็นซ้อมขี่ม้า ส่วนวันหยุดสุดสัปดาห์นั้นอุทิศให้กับการเป็นจิตอาสาอาชาบำบัด เพื่อดูแลและฟื้นฟูพัฒนาการของเด็กพิเศษที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง

“ไม่เคยคิดเลยว่าม้าจะพาผมมาขนาดนี้ คือตอนแรกผมคิดว่าขี่ม้าก็อาจจะมีแค่ขี่ ๆ ไปเพื่อความสนุกเท่านั้น แต่สุดท้ายมันได้หลายอย่างมากกว่าการขี่ม้า ทั้งมีสมาธิดีขึ้น ได้ภาษา และมีวินัยในตัวเอง” ไรเดอร์หนุ่มอธิบาย

ภาษา ประตูบานแรก ผลัก ‘ความอ่อนแอ’ สู่ความแข็งแกร่งด้วยเกือกม้า

“ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่เก่งภาษาครับ ก็เลยอยากได้ภาษา อยากพัฒนาภาษาของตัวเองขึ้นมาอย่างจริงจัง และรู้สึกว่าการเรียนด้านภาษาจะช่วยเปิดโอกาสให้ผมได้สื่อสารกับคนอื่น ๆ ได้กว้างขวางขึ้น เลยตัดสินใจเลือกเรียนด้านนี้”

โฟโต้เล่าตรงไปตรงมาถึงการหักเลี้ยวครั้งสำคัญ เพราะการเรียนภาษาไม่ได้เป็นเพียงการพัฒนาตนเองเท่านั้น แต่คือกลยุทธ์จำเป็นต่อการเติบโตในโลกปัจจุบัน ยิ่งผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเชื่อมต่อกันด้วยการสื่อสารมากเท่าไร การตัดสินใจเลือกเรียนภาษาจึงยิ่งเสมือนการเปิด “ประตูบานแรก” แห่งโอกาสให้กว้างที่สุด

“ทุกวันนี้เราทำงานกับต่างชาติมากขึ้นครับ ถ้าเรามีภาษา ก็จะสร้าง connection ได้มากขึ้น เหมือนคุณ CK Cheong (ซีอีโอบริษัท Fastwork) ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับคนทั่วโลก จนมีคนรู้จักและยอมรับฟังเขา สำหรับผม ภาษาเหมือนเป็นประตูอีกบานที่เปิดโอกาสให้เราก้าวไปข้างหน้า นอกเหนือจากทักษะหรือความสามารถ”

อย่างไรก็ตาม ความฝันเริ่มมีรูปร่างเมื่อโลกของการขี่ม้าเข้ามาในชีวิต เพราะฟาร์มที่ฝึกขี่ม้ามีทั้งเด็กอินเตอร์และโค้ชชาวต่างชาติ การฝึกซ้อมส่วนใหญ่จึงใช้ภาษาอังกฤษ ทำให้โฟโต้ได้หยิบสิ่งที่เรียนจาก DPU มาทบทวนและปรับใช้

“ล่าสุด ผมเพิ่งได้รับโอกาสจากคุณเก๋ (เปรมฤดี ตันติเวชกุล) เจ้าของ Farm de Lek ให้เข้ารับฟังในคลินิกพิเศษ ซึ่งเชิญนักกีฬาโอลิมปิกมาบรรยาย สอนเทคนิคการขี่ต่าง ๆ คือ หนึ่ง ผมจดคำสำคัญไว้ในหัว สอง ฟังแล้วจับประเด็นตามที่เรียน ทำให้เข้าใจศัพท์เทคนิคม้าได้ง่ายขึ้น” ไรเดอร์หนุ่มอธิบาย ขณะดวงตาเป็นประกายราวกับกำลังคิดถึงวันเก่าก่อน

และไม่ใช่แค่สุขเมื่อเพียงนึกย้อน แต่คือบททดสอบที่เขาเลือกฝ่าฟัน—และผ่านมันมาได้ด้วยตัวเอง

“ผมต้องเข้าใจคำสั่งให้ถูกต้อง เพราะถ้าเราฟังผิด ไม่ใช่แค่เราที่เสี่ยงเจ็บ ม้าก็จะเจ็บไปด้วย มันเลยทำให้ผมมีสมาธิจดจ่อและอยู่กับปัจจุบันตลอด พอเข้าใจว่าม้าต้องการอะไร มันก็ทำให้ผมมั่นใจขึ้นด้วยครับ เวลาไปรับลูกค้าฝรั่งที่ร้านพิซซ่าและธุรกิจพูลวิลล่ากับพ่อ (สุทธิพล อ่ำบัว) ก็กล้าคุยมากขึ้น เขาจะเอาอันนี้นะ ฟังกันรู้เรื่องง่ายกว่าก่อนเยอะเลยครับ”

ควบคุมและไว้ใจ: บททดสอบ ‘สติ’ และวินัยบนหลังม้า

แม้โฟโต้จะมีคุณแม่คือ คณา สุนทรมนทกานติ เจ้าของเหรียญเงินกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทยในซีเกมส์ ปี 2017 เป็นผู้ดูแลและพาเข้าสู่วงการขี่ม้า แต่เมื่อต้องขึ้นอานจริง ๆ เขาก็ไม่ได้มีอภิสิทธิ์เหนือม้าหรือใคร ทุกการเคลื่อนไหวบนหลังม้าต้องเริ่มจากศูนย์ และทุกบทเรียนต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทั้ง “การควบคุม” และ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ระหว่างตนเองกับม้า

“ตอนแรกที่ขึ้นขี่ม้าก็แอบหวั่นครับ เพราะม้าตัวมันใหญ่ แต่พอได้ลองคุมบังเหียน รู้สึกว่าเราสามารถคุมอะไรได้สักอย่าง มันเลยเป็นความสนุก เป็นความรู้สึกที่เราได้เป็นคนตัดสินใจ”

“วันนั้นแม่พาผมไปดูคุณปั้น (พฤฒิรัตน์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์) เจ้าของทีม The Horses Endurance Stable แข่งม้า Endurance ที่ Thai Polo Pattaya ตอนนั้นผมนั่งดูอยู่ข้างสนาม เห็นเขาควบม้าแล้วมีเสียงเชียร์ดังกระหึม ผมคิดเลยว่า ถ้าผมไปอยู่ตรงนั้น แล้วขี่แบบนั้นได้ มันต้องดูพราวมากเลย”

จากวันนั้น แม่จึงพาไปเริ่มเรียนขี่ม้า Jumping และลงแข่งครั้งแรกที่ค่ายทองทีฆายุ กรมการสัตว์ทหารบก ในระดับความสูง 70–80 เซนติเมตร ซึ่งนอกจากจะเป็นบททดสอบสำคัญที่ทำให้รู้ว่าตัวเอง “ทำได้” ประสบการณ์นี้ยังทำให้เขาเลือกลงลึกเพื่อปูรากฐานให้มั่น ด้วยการขี่ม้าประเภท Dressage อย่างจริงจังที่ Farm de Lek โดยได้รับโอกาสจากคุณเก๋ให้เรียนกับ “ครูซัน–ยุทธพันธ์ ผดุงจันทร์” และ “ครูเม่น–สุวันชัย จำรัสแนว”

“การขี่แบบ Dressage เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เพราะไม่ใช่แค่บังคับด้วยมือหรือบังเหียน แต่ต้องใช้ลำตัว ขา และจังหวะการทรงตัวให้สัมพันธ์กัน เราต้องนั่งให้มั่นคง ใช้ขาออกคำสั่ง ใช้มือสื่อสาร และควบคุมจังหวะให้สมดุล ถ้าเราไม่มีเบสิกที่ถูกต้อง เราจะคุมม้าไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ต้องระวังมาก ๆ”

การฝึก Dressage ยังพาโฟโต้ให้ได้รู้จักกับ “โรล่า” เทพธิดาม้าพันธุ์ยิปซีที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ โรล่าเคยพาเด็ก ๆ คว้าชัยมานับครั้งไม่ถ้วน และได้รับการยกย่องให้เป็น “schoolmaster” หรือ “ม้าครู” ที่ทำหน้าที่ฝึกคนให้รู้จักความแม่นยำในการออกคำสั่ง เพราะถ้าขี่ไม่ถูกหลัก ม้าก็จะไม่ตอบสนอง นอกจากนี้ถ้าผู้ขี่ยังไม่เป็นที่ชอบพอ ม้าก็จะไม่เปิดใจเช่นกัน

นั่นทำให้โฟโต้ต้องสร้างความผูกพันกับโรล่า และใช้ชีวิตอยู่กับเธอตั้งแต่เย็นวันศุกร์ไปจนถึงหัวค่ำวันอาทิตย์ โดยลงมือดูแลอย่างละเอียดอ่อนด้วยตนเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่อาบน้ำ เป่าและแปรงขน ไปจนถึงทำหน้าที่ “บริกรตัวน้อย” คอยเสิร์ฟหญ้า

“นางเป็นม้าเมืองหนาว ขนฟู ก็จะขี้ร้อนเป็นพิเศษ การดูแลก็ต้องทำแบบละเอียดกว่าม้าทั่วไป คือเหมือนลูกเลย ก่อนขี่ ไล่ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ต้องจัดกระเป๋าแล้วไปที่ฟาร์ม ดูแลเริ่มจากแปรงขน อาบน้ำ เช็ดตัว เป่าขน ให้อาหาร เช็กมูลม้า ส่วนเสาร์–อาทิตย์ก็ตื่นตีห้า มาทำเหมือนเดิม วนแบบนี้ทุกสัปดาห์ พอเขาเห็นหน้าบ่อย ๆ เขาก็จะเริ่มไว้ใจเรา

“นอกจากนี้ ม้าพูดไม่ได้ เราผู้ขี่ก็ต้องคอยสังเกต ถ้าวันไหนขี่รู้สึกผิดปกติ หรือม้าวิ่งแปลก ๆ เราจับความรู้สึกได้ว่าม้าตึงตรงไหน ต้องรีบบอกโค้ช เพราะบางทีมันอาจจะเจ็บ ถึงจะมีทีมแพทย์ทีมงานคอยดูแล แต่สุดท้ายคนที่รู้ใจม้ามากที่สุดก็คือคนที่อยู่กับเขาทุกวัน”

“ม้าก็คือนักกีฬาคนหนึ่ง ไม่ต่างไปจากคน” โฟโต้กล่าว

‘มิติที่ล้ำค่า’ จากการควบม้าสู่ ‘ผู้ให้’ แห่งศาสตร์อาชาบำบัด

จากการเรียนรู้ที่จะเข้าใจและสื่อสารกับม้า คนเราจะเติบโตขึ้นไปได้อีกขั้นก็ต่อเมื่อรู้จักยื่นมือช่วยเหลือคนอื่น นอกเหนือจากการดูแลม้าในทุกส่วน โฟโต้ยังใช้เวลาทุกวันศุกร์เป็นจิตอาสาในกิจกรรมอาชาบำบัดอย่างต่อเนื่อง ดูแลเด็กพิเศษที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง

“เป็นวัฒนธรรมของที่ Farm de Lek ทุกคนจะช่วยกันดูแลเด็ก ๆ” ไรเดอร์หนุ่มเปิดใจ ก่อนเล่าว่า ที่นี่ไม่ได้มีแค่การขี่ม้า แต่ยังรวมถึงการสอนหนังสือ การพูดคุยให้กำลังใจ และการถักพวงกุญแจเพื่อนำไปขาย โดยรายได้จะนำมาใช้จัดกิจกรรมสำหรับน้อง ๆ ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ

การได้เห็นพัฒนาการของน้อง ๆ ในแต่ละสัปดาห์ ทำให้โฟโต้ยิ่งตระหนักว่า “เรามีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น” และเมื่อได้รับก็ควรแบ่งปันโอกาสนั้นให้กับคนรอบข้าง

“ตอนแรกผมก็มุ่งแค่อยากขี่ม้าอย่างเดียวครับ แต่พอได้มาเห็นกิจกรรม ทำให้นึกย้อนว่าผมโชคดีขนาดไหน ผมได้ทุนเรียนที่ DPU ได้รับโอกาสและการสนับสนุนให้ทำจิตอาสาจากคุณเก๋ จนได้เจอนักกีฬาโอลิมปิกในคลินิกพิเศษ เดือนที่แล้วเพิ่งได้การสนับสนุนลงแข่ง Dressage ครั้งแรกที่ RBSC ผมตระหนักขึ้นทันทีว่า พ่อเคยสอนเสมอว่าถ้าเรามีโอกาสให้ส่งต่อ และผมก็คิดว่าควรส่งต่อ เลยใช้สิ่งที่มีช่วยน้อง ๆ ให้ได้มากที่สุด ทั้งความรู้จากมหาวิทยาลัยมาปรับใช้ในการสอน และความตั้งใจที่ฟาร์มมาดูแลน้อง

“จากวันแรก ๆ น้องนั่งตัวงอ หงายไปด้านหลังจนต้องคอยจับประคองตลอด ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ อย่างตอนที่ผมถามว่ากินข้าวไหม เขาก็ส่ายหน้า ทั้งที่จริง ๆ หิว แต่พอหลัง ๆ เขานั่งตัวตรงได้ดีขึ้น ไม่ต้องจับแล้ว ทีนี้พอถามอีกครั้ง เขาตอบว่าสนุกมาก อยากมาอีก จนมีวันหนึ่งที่ผมไม่ได้ไปรับ น้องโทรถามหาผมว่า ‘พี่มารับผมได้ไหม’ ทำให้รู้ว่าสิ่งเล็ก ๆ ที่เราทำมันมีความหมายมากจริง ๆ”

ทั้งนี้ การเป็นผู้ให้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในฟาร์ม เร็ว ๆ นี้โฟโต้กำลังตัดสินใจสมัครเป็นอาสาในรายการ FEI Asian Championships Pattaya 2025 และ SEA Games 2025 เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์จากนักกีฬาระดับโลก และนำกลับมาส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ ต่อไป

DPU สนามผลักดัน ช่วยสร้างทุกความฝันให้นักศึกษา

ความสามารถและความมุ่งมั่นของนักกีฬาที่ต้องควบคู่ไปกับการเรียน จำเป็นต้องมีสนามผลักดันที่เข้าใจและพร้อมสนับสนุน สำหรับนักศึกษาอย่างโฟโต้ที่ต้องแบ่งเวลาระหว่างการเรียนภาษาอังกฤษธุรกิจกับการฝึกซ้อมม้าอย่างเข้มข้น เขาค้นพบว่า มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เป็นแหล่งบ่มเพาะโอกาสสำคัญในชีวิตจริงและช่วยสร้างความมั่นใจในตนเอง

“ผมไม่รู้ว่าคนอื่นหรือที่อื่นเป็นยังไงนะครับ แต่ผมโชคดีที่ได้เรียนที่ DPU ที่นี่อาจารย์ให้เราคิด ให้เราพูดพรีเซนต์ออกไมค์ กระตุ้นให้เรากล้าแสดงออกครับ”

การสนับสนุนจากสถาบันทั้งทางทักษะและความกล้าแสดงออก ทำให้เขาเดินหน้าควบคู่กันได้ทั้งการเรียนภาษาอังกฤษธุรกิจและการฝึกซ้อมม้า

ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา โฟโต้ได้เข้าร่วมการแข่งขัน RBSC Polo Club Equestrian Section, Polo Competition 2025 และสามารถทำผลงานได้อันดับที่ 6 ซึ่งถือเป็นประสบการณ์สำคัญที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเขา

การสนับสนุนของ DPU ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเรียนรู้และการแสดงออก แต่ยังขยายไปถึงโอกาสด้านทุนการศึกษา เพื่อผลักดันนักศึกษาที่มีความสามารถและมีความตั้งใจอย่างเต็มที่

“เราสามารถยื่นเรื่องขอคำปรึกษาและการสนับสนุนได้ครับ ถ้าเรามีพอร์ตโฟลิโอ มีความสามารถในการแข่งขันชัดเจน เราก็สามารถไปคุยแนวทางการพัฒนาตัวเองและการเป็นนักกีฬากับมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มที่เลยครับ” พ่อสุทธิพลอธิบาย

“ที่ผ่านมา ก็มีหลายคนที่ได้โอกาสจากตรงนี้ครับ อย่างอาจารย์ดิน (ผศ.ดร.วันวร จะนู) ผู้เชี่ยวชาญพิเศษอาวุโส General Support & Services ที่เป็นหน่วยสนับสนุน หรืออาจารย์บอล (ผศ.ดร.ทัณฑกานต์ ดวงรัตน์) รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา DPU ท่านเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ เข้าไปปรึกษาและเดินเรื่องผลักดันให้ ไม่จำกัดว่าต้องอยู่คณะไหนหรือเรียนสายอะไร”

“โฟโต้เองก็เพิ่งเข้าไปคุยกับอาจารย์จากภาควิชาการทำอาหาร เพราะเขาสนใจด้านนี้ด้วย นอกเหนือจากเรื่องม้า ก็เหมือนอยากลองอะไรใหม่ ๆ ที่ตัวเองชอบ ซึ่งมหาวิทยาลัย DPU พร้อมผลักดัน หากมีความตั้งใจจริง เพื่อให้นักศึกษาทุกคนมีผลงาน มีแนวทางที่ชัดเจน และเติบโตเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด”

5 เดือนบนหลังม้า—ชีวิตที่ได้มากกว่าที่เคยคาดคิด

ถึงบรรทัดนี้ ชีวิตของคนเราอาจไม่ได้วัดกันที่เวลาที่ยาวนานเสมอไป หากแต่วัดกันที่ความตั้งใจ เพราะเพียง 5 เดือนที่ผ่านมา โฟโต้ได้เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มที่มุ่งเรียนสายวิทย์ด้วยความกังวล มาเป็นผู้ที่มีแก่นสาระของชีวิตที่ชัดเจน

“สุดท้ายมันได้หลายอย่างเลย มากกว่าการขี่ม้า ได้ทั้งมีสมาธิดีขึ้น ได้ connection ได้ภาษา ทำให้ผมมีจุดมุ่งหมายมากขึ้น สามารถมีเป้าหมายในชีวิต แบ่งเวลาได้”

สิ่งที่โลกของม้าได้มอบให้ ไม่ใช่เพียงทักษะกีฬา แต่คือชุดคุณค่าที่เขาได้รับ ทั้งความกล้าหาญในการสื่อสาร สมาธิและวินัยเพื่อการเรียนรู้ และการเป็นผู้ให้ผ่านงานอาชาบำบัด เพื่อเติมเต็มความหมายของชีวิต

เมื่อมองย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น สามารถสรุปการเดินทางของโฟโต้ได้อย่างเต็มปาก เขาไม่ได้เพียงแต่ขี่ม้า แต่กำลังกุมบังเหียนชีวิตตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ทั้งในสังเวียนกีฬาและสนามชีวิต

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top