วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
คณะบุคคลต่างๆ หลั่งไหล เข้าถวายสักการะพระบรมศพ สมเด็จพระพันปีหลวงต่อเนื่อง ด้านมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ทรงชุบชีวิตคนปัญญาอ่อนให้พึ่งตนเองได้
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน สำนักพระราชวัง ได้รับพระบรมราชานุญาตเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพเบื้องหน้าพระโกศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทุกวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 เวลา 08.00–21.00 น.โดยมีข้าราชบริพารหน่วยราชการในพระองค์ เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง จิตอาสา 904 และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและความเรียบร้อย รวมถึงคอยให้คำแนะนำอำนวยความสะดวกผู้สูงอายุ ผู้พิการและประชาชนตลอดเส้นทางเพื่อให้การเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพฯเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ
สำหรับบรรยากาศวันเดียวกันนี้ ซึ่งนับเป็นวันที่ 12 ประชาชนทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ต่างพร้อมใจแต่งกายด้วยชุดสุภาพสีดำไว้ทุกข์เดินทางมาผ่านจุดคัดกรองที่ท้องสนามหลวง เข้าพักยังจุดพักคอยที่อุโมงค์หน้าพระลาน ผ่านประตูมณีนพรัตน์ มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ทั้งนี้ มีคณะบุคคลต่างๆ เช่น คณะบุคคลจาก จ.เชียงใหม่ , ตรัง , ตราด และตาก เดินทางมาจังหวัดละ 750 คน คณะครู นักเรียนโรงเรียนราชวินิตฯ,โรงเรียนราชินี, โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม จ.บุรีรัมย์, มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์, สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำ กรุงเทพมหานคร, สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ ช่วยเหลือพสกนิกรให้มีอาชีพมีรายได้มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายขึ้น
ดร.สายสม วงศาสุลักษณ์ ประธานมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทยฯ กล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีต่อผู้พิการทางสติปัญญาทั่วประเทศ ว่าด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกลของสมเด็จพระพันปีหลวง ทรงเล็งเห็นว่าผู้พิการทางสติปัญญาถ้าได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ก็จะสามารถเป็นที่พึ่งพิงของครอบครัวได้มากกว่าการเป็นภาระ และด้วยพระบารมีอันยิ่งใหญ่นี้ มิได้ทรงดูแลเพียงแค่ผู้พิการทางสติปัญญาเท่านั้น หากแต่ยังทรงมีพระราชเสาวนีย์ ให้ดูแลทั้งครอบครัวของผู้พิการด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นแก่ผู้พิการทางสติปัญญาทั่วประเทศไทย
“สมเด็จพระพันปีหลงง ทรงรับมูลนิธิฯไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2505 ด้วยทรงเล็งเห็นว่าถ้าเด็กๆที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี เขาก็จะสามารถพัฒนาได้ เพราะในยุคนั้นคนทั่วไปมองว่าเด็กผู้พิการทางสติปัญญาเป็นภาระของครอบครัว ดังนั้นมูลนิธิฯ จึงให้ความสำคัญกับการดูแลเด็กๆโดยเฉพาะการพัฒนาด้านสติปัญญาเด็กคนไหนมีความสามารถด้านใดก็จะมีครูคอยดูแลสอนงานที่ตรงกับความสามารถ” ดร.สายลม กล่าวและว่า ทุกวันนี้เด็กๆได้รับการจ้างงานจากนายจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวมีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ผู้พิการทางสติปัญญา มีความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันปีหลวง ที่ทรงมีต่อผู้พิการทางสติปัญญา ที่ได้พระราชทานพระราโชบายในการดูแลผู้พิการให้ได้รับการยอมรับจากครอบครัวและสังคมอย่างภาคภูมิใจ
ส่วนน.ส.ขวัญชีวี เกิดสุทธิ์ ชาว อ.เมือง จ.ตราด กล่าวว่า ช่วงที่เขมรแดงแตก ชาวกัมพูชาจำนวนมากอพยพหนีภัยสงครามเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เมื่อประมาณปี 2517 สมเด็จพระพันปีหลวง และ ในหลวงรัชกาลที่ 10 เสด็จไปช่วยเหลือผู้อพยพและทรงให้จัดตั้งศูนย์ราชการุณย์ เขาล้าน เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพที่หนีภัยสงครามมายังชายแดน จ.ตราด พระองค์ท่านช่วยเหลือด้านที่อยู่ที่กินให้ที่อยู่อาศัยและส่งเสริมด้านอาชีพให้กับผู้อพยพ ซึ่งขณะนี้ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เขมรแดงแตกอยู่ที่เขาล้าน
“ความทรงจำที่มีต่อพระองค์ท่านคือการเสด็จฯ เคียงคู่กับในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่เลื่องลือคือพระองค์ส่งเสริมเรื่องผ้าไหม และทรงเป็นพระราชินีที่สวยที่สุด ตอนนี้เราเหมือนสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เคยสูญเสียพ่อหลวงไปแล้ว ครั้งนี้สูญเสียแม่หลวงไปอีก เหมือนสูญเสียร่มโพธิ์ร่มไทรที่เรารัก เราเป็นคนไทยถูกปลูกฝังมาให้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่ง 3 สิ่งนี้พวกเราเทิดทูนและจะน้อมนำคำสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์ความเป็นไทย การอนุรักษ์ป่าไม้ การอนุรักษณ์น้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีผลกับอาชีพประมงและอาชีพเกษตรกรของพวกเราตลอดไป” น.ส.ขวัญชีวี กล่าว