วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / สกู๊ปพิเศษ
อุบัติเหตุ ‘จุดตัดทางรถไฟ’ ไม่ร่วม‘บูรณาการ’ก็แก้ไม่ได้

อุบัติเหตุ ‘จุดตัดทางรถไฟ’ ไม่ร่วม‘บูรณาการ’ก็แก้ไม่ได้

วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557, 02.00 น.
Tag :
  •  

เป็นเหตุ “ซ้ำซาก” ที่มีมาให้เห็นในข่าวอยู่เสมอ กับ “อุบัติเหตุบนทางรถไฟ” ล่าสุดกับกรณีสองสามีภรรยาที่ขับรถเก๋ง มาถูกรถไฟขบวนที่ 261 วิ่งระหว่างหัวหิน-กรุงเทพฯ ชนบริเวณจุดตัดทางรถไฟ บ้านไร่กล้วย หมู่ที่ 5 ต.ต้นมะม่วง อ.เมือง จ.เพชรบุรี จนทั้งคู่เสียชีวิตคาที่ เหตุเกิดเวลา 13.00 น. เมื่อ 28 ต.ค. 2557 ที่ผ่านมา

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เวลา 23.00 น. เกิดอุบัติเหตุรถไฟชนรถยนต์อีกครั้ง คราวนี้เป็นพื้นที่ระหว่างสถานีพรหมพิราม-สถานีแควน้อย จ.พิษณุโลก กม.ที่ 413/16 หญิงสาวรายหนึ่งขับรถเก๋ง มาถึงทางดังกล่าวแล้วเกิดเครื่องยนต์ดับกะทันหัน
จนถูกรถไฟขบวนที่ 108 เด่นชัย-กรุงเทพฯ พุ่งชน แต่เคราะห์ดีที่ไม่ได้รับอันตรายรุนแรงหรือเสียชีวิต


หลังเกิดเหตุถึง 2 ครั้งในวันเดียวกัน ทุกฝ่ายพุ่งเป้าไปที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กรณีจุดตัดทางรถไฟหลายแห่งไม่มีสัญญาณเตือนและเครื่องกั้น กระทั่ง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ยังยอมรับว่าปัจจุบันมีจุดตัดระหว่างถนนกับทางรถไฟทั่วประเทศ ที่ยังรอการติดตั้งเครื่องกั้นทั้งหมด 775 แห่ง และหากจะติดตั้งให้ครบทุกจุด ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 3,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม..ก็มีผู้ตั้งคำถามเช่นกัน ว่าเป็นความผิดของการรถไฟฯ ฝ่ายเดียวจริงหรือ?

เพราะต้องยอมรับว่า..จุดตัดระหว่างถนนกับรถไฟทั่วประเทศ มีถึง “584 แห่ง” ที่มีลักษณะเป็น “ทางลัด” ซึ่งชาวบ้านทำขึ้นเอง โดยไม่ได้ประสานขออนุญาตกับการรถไฟฯ และเมื่อไปรวมกับจุดตัดของการรถไฟฯ ข้างต้นอีก 775 แห่ง เท่ากับว่ามีจุดเสี่ยงถึง 1,359 แห่ง และหากจะติดให้ครบทุกแห่ง ทั้งจุดตัดที่ได้รับและไม่ได้รับอนุญาต ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 5,436 ล้านบาท

คำถามต่อไป..จุดตัดทางลัดเหล่านี้มาจากไหน?

ต้องยอมรับว่ามีชุมชนที่อยู่ใกล้ทางรถไฟเป็นจำนวนมาก ข้อมูลจากการรถไฟฯ ทำการสำรวจในปี 2555 ระบุว่า มีประชาชนตั้งบ้านเรือนอยู่ตามแนวทางรถไฟโดยไม่ได้รับอนุญาต ประมาณ 23,379 รายทั่วประเทศ คิดเป็นพื้นที่ได้ประมาณ 2,400 ไร่ หรือ 3,800,000 ตารางเมตร

และหากรวมชุมชนทั่วไปที่ไม่ได้บุกรุกด้วย ก็จะมีมากกว่านี้ จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะมีความต้องการสัญจรผ่านเส้นทางที่รถไฟแล่นผ่านเป็นจำนวนมาก จนเกิดทางลัดที่ทำกันเองขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ยุติการสร้างและใช้ทางลัดดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันข้ามกระทรวง กล่าวคือ การรถไฟฯ สังกัดกระทรวงคมนาคมฝ่ายหนึ่ง กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทยอีกฝ่ายหนึ่ง

ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ย้อนไปเมื่อเดือน ส.ค. 2554 ชาวบ้านจาก 4 หมู่บ้าน ของ ต.ทุ่งทอง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี รวมตัวกันที่บริเวณถนนตัดทางรถไฟบ้านทุ่งทอง หมู่ 6 ต.ทุ่งทอง ซึ่งอยู่ริมคลองชลประทานสายทุ่งทอง-บางเลน ประท้วงกรณีการรถไฟฯ นำแผงเหล็กปิดกั้นเส้นทางดังกล่าว โดยชาวบ้านระบุว่าใช้เส้นทางนี้มากว่า 30 ปี ขณะที่เส้นทางใหม่ที่การรถไฟฯ จัดให้เป็นเส้นทางมืดและเปลี่ยว เสี่ยงต่ออันตรายจากอุบัติเหตุและมิจฉาชีพ

ในครั้งนั้นได้ข้อสรุปคือการรถไฟฯ ประสานไปทาง อ.ท่าม่วง ทต.ท่าม่วง อบต.ทุ่งทอง และทางหลวงชนบทจังหวัดกาญจนบุรี ทำถนนลาดยางและติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างบริเวณทางข้ามใหม่ ซึ่งระหว่างรองบประมาณ จะอนุโลมให้ใช้ทางเดิมนี้ไปก่อน แต่การรถไฟฯ จะไม่รับรองความปลอดภัย เพราะจุดเดิมที่ต้องปิดนี้ที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง อนึ่ง..หลักเกณฑ์จุดตัดของถนนกับทางรถไฟ การรถไฟฯ ระบุว่าระหว่างสถานีต้องมีไม่เกิน 2 แห่ง และแต่ละทางตัดผ่าน ต้องอยู่ห่างกันไม่น้อยกว่า 4 กิโลเมตร

เห็นได้ชัด..ถนนกับทางรถไฟ ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าภาพเดียวกัน!!!

อีกด้านหนึ่ง..ถึงจะมีการวางเครื่องกั้น สัญญาณเตือน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณจุดตัด แต่ก็พบว่าผู้คนไม่น้อยมีนิสัย “มักง่าย” ไม่ระมัดระวังเมื่อจะสัญจรข้ามทางรถไฟ จุดหนึ่งที่เห็นได้บ่อยๆ คือ “แยกยมราช” ซึ่งเป็นจุดที่รถไฟจะแล่นเข้า-ออก สถานีหัวลำโพง

นายดาบตำรวจรายหนึ่งสังกัดกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.-จราจรกลาง) ที่เข้าเวรบริเวณนี้เป็นประจำ เล่าว่า ที่ผ่านมาเห็นอยู่บ่อยครั้ง กับบรรดาจักรยานยนต์ที่พยายามมุดลอดผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นการลอดใต้ไม้กั้น หรือเลาะไปตามทางเท้าด้านข้าง ส่วนผู้เดินเท้า หลายครั้งแม้สัญญาณเตือนจะดังแล้ว แต่ก็ยังฝืนที่จะเดินข้ามไปให้ได้

“พวกนี้คือรอไม่ได้ไง พวกมอเตอร์ไซค์มันมีช่องมันก็ลอดไป เลาะไม้ไปเลย คือขี้เกียจรอ คิดว่านิดเดียวก็พ้น ตรงนี้ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์นี่บ่อยนะ แล้วสัญญาณเขาก็เปิดดังนะ คือมันอาจจะเป็นความประมาทของคน คือมันต้องดูให้ดีๆ เพราะเสียงสัญญาณมันก็มาอยู่แล้ว ไม้กั้นมันก็ลงมาแล้ว คอยดูซ้ายดูขวาหน่อย” เจ้าหน้าที่ตำรวจรายนี้ กล่าว

ขณะที่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่อยู่บริเวณแยกนี้มาหลายปี ระบุว่าพบเห็นพฤติกรรมประมาทของคนที่ผ่านไปมาเช่นกัน ทั้งผู้ขับขี่จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถเข็น และคนเดินเท้า ที่แม้สัญญาณเตือนจะดังแล้ว และไม้กั้นก็ลงมาขวางระหว่างถนนกับทางรถไฟแล้ว ก็ยังมีบางส่วนพยายามมุดลอดใต้ไม้กั้น เพราะคิดว่ารถไฟยังอยู่อีกไกลกว่าจะมาถึง

อย่างไรก็ตาม สำหรับในส่วนของแยกยมราช อยากจะให้การรถไฟฯ ทำเครื่องกั้นทั้งบนถนนขาเข้าและขาออกทั้ง 2 ฝั่ง (รวม 4 จุด) เพราะแม้แต่ละฝั่งจะมีรถวิ่งได้ทางเดียว แต่ต้องไม่ลืมว่ายังมีคนที่สัญจรไปมา และลำพังสัญญาณเสียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ การมีไม้กั้นลงมาจะทำให้สังเกตเห็นได้ง่ายกว่า

“บางทีเครื่องกั้นลงมาแล้ว แต่มอเตอร์ไซค์มันออกมาได้ไง คือคนที่ไม่ได้อยู่แถวนี้จะไม่รู้ จะไม่ระวัง ถามว่าเจอบ่อยไหม? ก็มีทุกวัน บางทีคนไม่รู้เดินขึ้นไป รถไฟมาก็อาจจะเฉี่ยวได้ อย่างนี้ไง ไม้มันลงมาแค่ฝั่งนี้ ฝั่งโน้นไม่ได้กั้น คือคนเดินไปมาเขาก็ไม่ค่อยระวัง คือเขารีบไง ถ้าคนแถวนี้เขาจะหยุดดู แต่คนจากที่อื่นก็จะไม่หยุด จะเดินข้ามไปเลย” วิน จยย.รับจ้าง รายนี้ ฝากทิ้งท้าย

เห็นได้ชัดว่าการปัญหาอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางข้ามรถไฟ มีหลายตัวแปรที่เป็นปัจจัยสำคัญ ทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบระหว่างถนนกับทางรถไฟอยู่คนละส่วนราชการ, ความมักง่ายของประชาชนผู้สัญจรไปมาเอง อีกทั้งอาจรวมถึงเรื่องอื่นๆ อย่างชุมชนที่อยู่ใกล้ทางรถไฟอย่างผิดกฎหมาย ทำอย่างไรจึงจะย้ายออกไปได้โดยที่คนกลุ่มนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดต้องไม่แย่ลงกว่าเดิม จนเกิดการประท้วงต่อต้าน เพราะต้องยอมรับว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้มีรายได้น้อย โอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพจึงเป็นไปได้ยาก

ทั้งหมดนี้มิได้ต้องการจะบอกว่าการรถไฟฯ เองไม่มีข้อบกพร่อง แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า แต่ละปัจจัยต่างก็มีผู้รับผิดชอบคนละหน่วยงานกัน ดังนั้น หากไม่ประสานการทำงานร่วมกัน ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้!!!

SCOOP@NAEWNA.COM

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

ภูมิใจไทยส่ง'นรเสฏฐ์ เธียรประสิทธิ์' ลงสู้ศึกพญาไท ลุ้นเจาะไข่แดง กทม.

ปิดดีลคาว! 'เรือโท' ยอมชดใช้ 1.8 แสนแลกจบคดีขยี้กามสาววัย 23 ท้ายกระบะแฟลตทหารเรือ

สีหศักดิ์ ขอกัมพูชารักษาคำพูด อย่ายั่วยุ เพื่อให้เกิดการหยุดยิงที่ยั่งยืน

โดม ปกรณ์ ลัม ยอมรับดื่มจนขาดสติ โผล่เมนต์รูปน้องจินนี่ ขอโทษครอบครัวคุณหญิง

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved