“วิกฤติวัยกลางคน”...
หรือที่ภาษาอังกฤษใช้ว่า midlife crisis คืออะไร?
หากจะพูดแบบเข้าใจง่ายๆด้วยภาษาบ้านๆ หลายคนมักนึกถึงการที่ผู้ใหญ่วัยกลางคนเกิดลุกขึ้นมาทำอะไร “บ้าๆ” แบบไม่คาดฝัน เช่น หย่ากับภรรยา มีเมียน้อย ลาออกจากงานประจำไปเปิดร้านกาแฟ หรือเอาเงินเก็บทั้งหมดไปซื้อรถสปอร์ต
สีแดง เป็นต้น
“สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย” https://www.facebook.com/ThaiPsychiatricAssociation โดย “หมอคลองหลวง” อธิบายว่า“วิกฤติวัยกลางคน” คือการที่ผู้ใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 35-50 ปี เกิดคิดทบทวนหรือ “ประเมินชีวิต” ตัวเองอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นด้านการงาน ชีวิตคู่ ความสุขในชีวิต หรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งการคิดทบทวนนี้มักถูกกระตุ้นมาจากการตระหนักว่าชีวิตนี้เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว และเราควรจะประสบความสำเร็จ หรือมีความสุขได้แล้ว
สิ่งที่ต้องเข้าใจ คือ “วิกฤติวัยกลางคน” ไม่ใช่โรค และไม่ใช่ความผิดปกติทางการแพทย์ แต่เป็นปรากฏการณ์ปกติทางจิตวิทยาที่พบได้ในคนวัยนี้ โดยนักวิชาการส่วนหนึ่งใช้คำว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ของวัยกลางคน หรือ midlife transition แทนคำว่าวิกฤติวัยกลางคน เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีอาการระดับที่ควรจะเรียกว่า “วิกฤติ” แต่อย่างใดมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจทำอะไรหุนหันพลันแล่น จนสร้างปัญหาให้กับชีวิต หรือเกิด “โรคซึมเศร้า”
# เพราะอะไรชีวิตถึงมาวิกฤติกันช่วงอายุนี้.?
จิตแพทย์ผู้ใช้นามแฝง “หมอคลองหลวง” อธิบายว่า ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากพบว่าในช่วงอายุ 35-50 ปีนี้เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเข้ามาในชีวิต ได้แก่…
+ การเสื่อมของร่างกาย : ในวัยนี้ร่างกายจะเริ่มเสื่อมลงไม่แข็งแรงเท่ากับตอนวัยรุ่น และเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง หลายคนรู้สึกได้เลยว่าตัวเอง“ไม่ฟิต” เท่าเดิม เริ่มอ้วน หัวเริ่มล้าน เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นช่วงอายุที่เริ่มมีโรคประจำตัวมากขึ้น
+ ฮอร์โมนเปลี่ยน : โดยในผู้หญิงจะเห็นได้ชัดเจนกว่าผู้ชาย คือ ผู้หญิงหลายคนในวัยนี้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือน ทำให้มีอาการของคนที่กำลังจะเข้า “วัยทอง” หรือ perimenopausal syndrome
+ ต้องการความสำเร็จ : ในวัยผู้ใหญ่สิ่งสำคัญในชีวิตนอกจากชีวิตครอบครัว คือ เรื่องของการทำงาน ซึ่งในคนส่วนใหญ่ตอนอายุยี่สิบต้นๆ จะเป็นช่วงที่เพิ่งจะเริ่มทำงาน ยังเรียนรู้ลองผิดลองถูก มักไม่ได้จริงจังมากในเรื่องความสำเร็จก้าวหน้า แต่ในวัยที่เกิน 35 ปี ซึ่งทำงานมาแล้วเป็นสิบปี คนส่วนใหญ่จึงต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้
+ ตระหนักได้ว่าเวลาของเราเหลืออีกไม่มาก : ในช่วงนี้หลายคนจะเริ่มรู้สึกว่า...“เฮ้ย! เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ” หรือ “อีกสิบกว่าปีก็เกษียณแล้ว” หรือ “อีกสิบกว่าปีก็อาจจะตายแล้ว” เราควรจะต้องทำอะไรแล้ว
+ การสูญเสียของคนใกล้ชิด : ช่วงอายุนี้มักพบเหตุการณ์ที่คนใกล้ชิดเสียชีวิตได้บ่อย ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หรือเพื่อนฝูง
# แล้วสังเกตอย่างไรว่าเรากำลังอยู่ในช่วงวิกฤติวัยกลางคน.?
“อาการเด่น” คือ ความคิดที่สับสนกับชีวิต รู้สึกไม่พอใจในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ชีวิตคู่ ที่อยู่อาศัย หรือสุขภาพ และตามมาด้วยความต้องการที่จะ“เปลี่ยนแปลง”
ในด้านของอารมณ์ที่พบได้บ่อย คือ จะเป็นพวก “อารมณ์แปรปรวน” หงุดหงิดง่าย หรือซึมเศร้า โดยในคนที่เป็นมากมักจะแสดงออกให้เห็นชัดผ่านการกระทำที่รุนแรงและกะทันหัน เช่น มีความคิดว่างานที่ทำอยู่ “มันช่างไม่มีความสุขเอาเสียเลย!” ว่าแล้วก็ “ลาออก” จากงานประจำมาเปิดร้านกาแฟเสียเลย
หรือคิดว่าคู่ชีวิตของเราตอนนี้...“มันไม่ใช่อ่ะ!!!” แล้วก็ขอหย่ากับภรรยา หรือคิดว่าบ้านที่เราอยู่ตอนนี้...“มันไม่เวิร์กเอาซะเลย!!!” แล้วก็ทุ่มเงินซื้อบ้านใหม่ เป็นต้น
# แนวทางการจัดการกับวิกฤติวัยกลางคน.?
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า “วิกฤติวัยกลางคน” คืออะไรแล้ว คราวนี้มาดูกันว่าจะมีแนวทางแก้ไข ป้องกันอย่างไรไม่ให้มันกลายเป็น “วิกฤติในชีวิต” ไปจริงๆ ซึ่ง“หมอคลองหลวง” แนะนำไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้...
+ เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น : สิ่งสำคัญแรกสุด คือ เราต้องเข้าใจภาวะนี้ก่อนว่าคืออะไร เมื่อรู้จักก็จะช่วยให้เรารู้ตัวและนำไปสู่การจัดการแก้ไขได้อย่างเหมาะสมต่อไป
+ ปรึกษาผู้อื่นเสมอในเรื่องที่สำคัญ : ที่จริงการคิดทบทวนประเมินชีวิตของตัวเอง และอยากที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร บางครั้งอาจเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ แต่ที่มักทำให้เกิดปัญหา คือ การตัดสินใจอย่างหุนหันในเรื่องที่สำคัญ จนเกิดความเสียหายตามมา ดังนั้นทุกการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของชีวิต เช่น หย่า ลาออก ใช้เงินจำนวนมาก ควรต้องให้เวลาในการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบและปรึกษาผู้อื่นเสมอ
การได้พูดคุยกับคนอื่นที่สามารถให้คำปรึกษาได้ จะช่วยให้มองเห็นว่าสิ่งที่เราจะทำมันสมเหตุผลเพียงใด เพื่อที่จะลดโอกาสที่จะตัดสินใจ “ผิดพลาด” ให้เหลือน้อยที่สุด
+ ออกกำลังกายเป็นประจำ : การออกกำลังกายจะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ทำให้สุขภาพแข็งแรง และยังป้องกันการเป็นโรคซึมเศร้าได้ ยิ่งวัยนี้เป็นวัยที่ตามธรรมชาติสุขภาพจะเริ่มเสื่อมลงและเกิดโรคต่างๆได้ง่าย การออกกำลังกายจึงเป็นเรื่องสำคัญและมีประโยชน์อย่างมาก
+ หากิจกรรมทำทดแทน : ตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญโดยเฉพาะกรณีที่ “ว่างเปล่า” เพราะนั่นคือการที่เราเปลี่ยนสถานะจากผู้ที่ทำงาน “ดูแลลูก” กลายเป็น“ผู้ว่างงาน” ลูกไม่อยู่ให้ดูแลแล้ว จึงต้องหากิจกรรมอื่นทำทดแทนงานเดิม เพื่อไม่ให้ “เบื่อและเศร้า” โดยกิจกรรมนั้นอาจเป็นการออกกำลังกาย การไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง การเข้าร่วมชมรมต่างๆ หรือทำงานการกุศล เป็นต้น
“วิกฤติวัยกลางคน”...
หรือการเปลี่ยนผ่านช่วงวัยกลางคนเป็นภาวะปกติที่พบได้ในคนวัยผู้ใหญ่ทั่วไป การเข้าใจถึงสภาวะนี้และวิธีปฏิบัติตัวจะช่วยให้ “วิกฤติวัยกลางคน” ไม่กลายเป็น “วิกฤติ” จริงๆ และทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขสืบเนื่องต่อไป
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี