เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ยาม” อีกอาชีพหนึ่งที่มีความสำคัญในสังคม เห็นได้จากโรงงาน สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโครงการที่อยู่อาศัยแบบต่างๆ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือบุคคลชายบ้างหญิงบ้าง แต่งเครื่องแบบท่าทางขึงขังอยู่ประจำจุดบ้าง เดินตรวจตรารอบสถานที่บ้าง นอกจากนี้เมื่อเกิดวิกฤติใหญ่ๆ เช่นน้ำท่วม เพลิงไหม้ หรือล่าสุดกับเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ ก็เป็นบรรดา รปภ. เหล่านี้เอง ทำหน้าที่ “ด่านแรก” ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุก่อนที่หน่วยกู้ภัยหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไปถึง
เมื่ออาชีพ รปภ. มีความสำคัญเช่นนี้ จึงมีแนวคิด “จัดระเบียบ” ให้เข้าที่เข้าทาง ล่าสุดกับการออก พ.ร.บ.ธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. ... ที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพิ่งลงมติเห็นชอบไปเมื่อไม่นานนี้ ด้านหนึ่งเพื่อ “คัดกรอง” ไม่ให้คนไม่ดีเข้ามาใช้ความเป็นอาชีพที่ต้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของสุจริตชนเพื่อก่อเหตุร้าย และอีกด้านหนึ่งเพื่อ “ยกระดับ” ทั้งผู้ประกอบการและตัว รปภ. เอง ให้มีมาตรฐานมากขึ้น ทั้งนี้ในต่างประเทศ อาชีพ รปภ. ถือเป็นอาชีพที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนอย่างเข้มงวด และมีรายได้ค่อนข้างคุ้มค่าเมื่อเทียบกับภาระงาน
ที่งานสัมมนา “เตรียมความพร้อม/ทางออกกับ พ.ร.บ.ธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. ...” 22 ต.ค. 2558 ณ สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ พล.ต.ต.พรชัย ขันตรี ผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 1 ในฐานะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ กล่าวถึงสาเหตุสำคัญไว้ 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ
1.เพื่อจัดระเบียบ ในต่างประเทศ วิชาชีพรักษาความปลอดภัยมีความสำคัญกับทั้งรัฐและประชาชน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ทั้งนี้ในประเทศที่เจริญแล้ว รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านล้วนมีกฎหมายว่าด้วยงาน รปภ. ทั้งสิ้น แต่ประเทศไทยยังไม่มี เพราะงาน รปภ. ไม่ใช่แค่เรื่องของบุคลากร แต่มีทั้งองค์ความรู้ เครื่องมือเครื่องใช้ เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
2.เพื่อสร้างมาตรฐาน การทำงาน รปภ. ไม่ว่าจะเป็นตัวของ รปภ. เอง หรือบริษัทต้นสังกัดของ รปภ. ถ้าคนในแวดวงอาชีพนี้มีมาตรฐานที่ดี ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนทั่วไปก็จะดีไปด้วย ท้ายที่สุดก็จะส่งผลให้ผู้ประกอบการหรือประกอบวิชาชีพ รปภ. มีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะผู้ว่าจ้างย่อม “กล้าจ่าย” หากจ่ายแล้วได้บริการที่ดี และ 3.เป็นกลไกควบคุมเจ้าหน้าที่รัฐ การมีกฎหมายจะทำให้มีกรอบชัดเจนว่าอะไรทำได้ทำไม่ได้ เป็นการลดโอกาสในการใช้ดุลยพินิจโดยไม่สุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐไปโดยปริยาย
“ประเทศที่เจริญแล้วเขามีกฎหมาย รปภ. หมดเลย มีการจัดองค์การ สมาคมใหญ่โตมาก และธุรกิจ รปภ. มันไม่ใช่แค่ตัว รปภ. มันมีทั้งอุปกรณ์ เทคโนโลยี และเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล เราจะเห็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์มากมาย รวมถึงเป็นกลไกหนึ่งในการโฆษณาเกี่ยวกับการค้า ยกตัวอย่างท่านไปคอนโดมิเนียม หรือที่พักต่างๆ ความปลอดภัยเป็นส่วนสำคัญที่ลูกค้าจะเลือก ฉะนั้นจึงต้องมีการจัดระเบียบ
ยกตัวอย่างถ้าท่านไปจอดรถ มุมหนึ่งเป็นที่จอดรถธรรมดามีคนมาเก็บค่าจอด อีกมุมเป็นสถานที่จอดรถที่ปลอดภัย มีทางเข้าออกที่ควบคุมอย่างเรียบร้อย มีไฟฟ้าส่องสว่าง มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี ท่านจะจ่ายตรงไหน? ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของการสร้างมาตรฐานขึ้นมา ซึ่งก็จะเป็นกลไกในการควบคุมการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจในทางมิชอบ แสวงหาประโยชน์โดยไม่ควร เขาก็จะเข้าข้อกฎหมายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยปริยาย” พล.ต.ต.พรชัย กล่าว
แต่อีกด้านหนึ่ง ความกังวลจากผู้ประกอบการธุรกิจรักษาความปลอดภัยในไทยก็มีไม่น้อย ดังที่ นายวัชรพล บุษมงคล นายกสมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตไว้หลายประการ เช่น 1.วุฒิการศึกษา ตามกฎหมายนี้ มาตรา 34 (3) ระบุว่า ต้องสำเร็จการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่มัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3)
ทว่าในความเป็นจริง การศึกษาภาคบังคับขั้นต่ำที่ ม.3 เพิ่งใช้มาเพียงสิบกว่าปีเศษๆ เท่านั้น จำนวนแรงงานรุ่นใหม่ที่พร้อมจะเป็น รปภ. จึงยังมีน้อย 2.บุคคลเคยต้องคดี ผู้ถูกศาลสั่งจำคุกเว้นแต่ความผิดโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ต้องพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี จึงสามารถประกอบอาชีพ รปภ. ได้ ทั้งหมดนี้อาจทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในวิชาชีพ รปภ. ในที่สุด
3.บริษัทรักษาความปลอดภัยสังกัดองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายนี้ ซึ่งแม้มุมหนึ่งจะเข้าใจได้ว่าให้เป็นสวัสดิการของทหารผ่านศึก แต่อีกมุมหนึ่ง บริษัทดังกล่าวก็อยู่ในฐานะ “คู่แข่งทางธุรกิจ” ของบริษัท รปภ. ของเอกชนเช่นกัน
และ 4.อัตราค่าธรรมเนียม ในร่างกฎกระทรวงเบื้องต้นที่ออกตาม พ.ร.บ. นี้ กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการรักษาความปลอดภัยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 10,000 บาท สำหรับบริษัทที่มีพนักงานไม่เกิน 100 คน , 30,000 บาท สำหรับบริษัทที่มีพนักงานเกิน 100 คน แต่ไม่เกิน 1,000 คน และ 50,000 บาท สำหรับบริษัทที่มีพนักงานเกิน 1,000 คนขึ้นไป ส่วนผู้ประกอบอาชีพ รปภ. ต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายละ 1,000 บาท
ซึ่งสมาคมฯ มองว่าสูงเกินไป จึงเสนอให้ลดลงมา โดยใบอนุญาตผู้ประกอบกิจการรักษาความปลอดภัย สำหรับบริษัทที่มีพนักงาน 1-500 คน 5,000 บาท , บริษัทที่มีพนักงาน 500-1,000 คน 20,000 บาท , บริษัทที่มีพนักงาน 1,000-5,000 คน 30,000 บาท และบริษัทที่มีพนักงาน 5,000 คนขึ้นไป 40,000 บาท ส่วนผู้ประกอบอาชีพ รปภ. ให้เสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายละ 300 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดของบริษัทและรายได้ของ รปภ.
“แน่นอนว่าธุรกิจ รปภ. จะมีต้นทุนสูงขึ้น อันหนึ่งคือเราต้องปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ มาตรฐานของธุรกิจรักษาความปลอดภัย สิ่งที่เราต้องมีความพร้อมมากขึ้นทั้งศูนย์ประสานงาน อุปกรณ์ เครื่องมือสื่อสาร ระบบบริหารจัดการ การฝึกอบรม การทบทวน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นต้นทุน รวมถึงการครองใจให้พนักงานอยู่กับเรา ฉะนั้นรายได้หรือสวัสดิการต้องเพิ่มให้เขาสูงขึ้น ต้นทุนก็จะสูงขึ้น ผลกำไรก็จะน้อยลง เรื่องของค่าธรรมเนียม ค่าปรับ ก็จะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจอยู่พอสมควร” นายกสมาคมผู้ประกอบการ รปภ. ระบุ
ปัจจุบันกฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างรอทูลเกล้าฯ ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็จะมีการร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ในส่วนของกฎกระทรวง โดยเฉพาะเรื่องค่าธรรมเนียม สมาคมฯ จะหารือกับภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางออกที่ลดผลกระทบกับผู้ประกอบการและผู้ประกอบอาชีพ รปภ. ต่อไป
ท้ายที่สุดกฎหมายฉบับนี้จะสามารถยกระดับมาตรฐานอาชีพ รปภ. ได้มากน้อยแค่ไหน..โปรดติดตาม!!!
หมายเหตุ : ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดู พ.ร.บ.ธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. ... ฉบับเต็มได้ที่นี่ http://www.securitythaicenter.com/thaiglory/admin/userfiles/files/Security-Law.pdf
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี