ดร.มูฮัมหมัดอิลยาส หญ้าปรัง
เรื่องของการ “มองอิสลามในแง่ลบ” (Islamophobia) กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงในปัจจุบัน โดยเฉพาะความคิดเห็นในสื่อออนไลน์ (Social Media) ทั้งในระดับนานาชาติและในสังคมไทย ที่มองว่าศาสนาอิสลามเป็น “ศาสนาแห่งความรุนแรง” สืบเนื่องจากเหตุวินาศกรรมไม่ว่าใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ของไทย หรือในประเทศอื่นๆ รวมถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “ไอซิส-ไอเอส” (ISIS-IS) ผู้ก่อเหตุและแนวร่วมมักอ้างว่าทำในนามศาสนาอยู่เสมอ
คำถามที่เกิดขึ้น..ศาสนาอิสลามเป็นอย่างที่เขาว่าจริงหรือ?
“สมัยก่อนแต่ละเผ่าเขามีพระเจ้าของเขาเอง แถมแต่ละเผ่ายังบอกอีกว่าพระเจ้าของผมใหญ่กว่าพระเจ้าของคุณ ก็ถกเถียงกันแล้วก็สู้รบกัน แล้วเขามีการภักดีต่อหัวหน้าชนเผ่า แต่อิสลามเข้ามาบอกว่าทั้งคุณและผมเรามีพระเจ้าองค์เดียวกัน และไม่ควรภักดีต่อหัวหน้าชนเผ่า เพราะถ้าภักดีต่อหัวหน้าชนเผ่า แต่ละเผ่าก็จะภักดีต่างกัน แล้วก็จะรบกันได้ อิสลามจึงเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ ทำให้ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าที่มีมาก่อนหน้ามันยุติลง”
“อาจารย์อิลยาส” ดร.มูฮัมหมัดอิลยาส หญ้าปรัง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในฐานะชาวมุสลิมผู้หนึ่ง บอกเล่าผ่าน “สกู๊ปหน้า 5” ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East) ตั้งแต่โบราณกาล ดินแดนทะเลทรายแห่งนี้แม้ด้านหนึ่งจะเป็นเส้นทางค้าขายที่สำคัญ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา แต่อีกด้านก็เต็มไปด้วยการทำสงครามระหว่างชนเผ่าต่างๆ เช่นกัน
ซึ่งแต่ละชนเผ่าล้วนมี “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ของตนเอง และต่างก็กล่าวว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตน “สูงส่ง” กว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าอื่นๆ เมื่อบวกกับค่านิยมที่“หัวหน้าเผ่าเป็นใหญ่” หัวหน้าเผ่าว่าอย่างไรลูกเผ่าก็ว่าตามนั้น การรบพุ่งของชนเผ่าในพื้นที่ตะวันออกกลางจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา กระทั่ง “นบีมูฮัมหมัด”เริ่มเผยแผ่ศาสนาอิสลามในดินแดนแถบนี้ ปัญหาการรบพุ่งดังกล่าวจึงค่อยๆ เบาลง
ทว่าเมื่อโลกเข้าสู่ความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ ไฟแห่งความรุนแรงก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง อาจารย์อิลยาส กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ในแถบตะวันออกกลางหลายประเทศปกครองแบบ “รวมศูนย์อำนาจ” หากไม่เป็นแบบ “ราชาธิปไตย” ก็จะเป็น “เผด็จการทหาร” ซึ่งระบอบเหล่านี้ “ไม่ยอมให้มีผู้เห็นต่าง” ผู้ใดที่คัดค้านหรือวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของผู้ปกครองจะถูกปราบปรามอย่างรุนแรง
ด้วยเหตุนี้ทำให้บรรดาผู้ต่อต้านที่รับไม่ได้กับความโหดร้ายดังกล่าว จัดตั้งเป็น ขบวนการใต้ดิน ใช้แนวทางรุนแรง “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” เพื่อหวังโค่นล้มผู้ปกครอง เพราะเป็นทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจได้ และวิธีการหาแนวร่วมที่ได้ผลที่สุด คือการอ้าง “สงครามศักดิ์สิทธิ์” (จิฮัด-Jihad) ในนามศาสนาอิสลาม แม้ว่าจริงๆ แล้ว อาจจะเป็นการ “อ้างอย่างไม่ถูกต้อง” เลยก็ตาม
“ผู้ปกครองเป็นแบบรวมศูนย์อำนาจ ผู้ที่เห็นต่างก็ถูกปราบ พอถูกปราบก็หนีลงไปสู้ใต้ดิน ก็เกิดพวกแนวคิดสุดโต่งขึ้นมา แล้วคนเหล่านี้ก็ทำการต่อสู้กลับ แล้วอิสลามก็มีคำสอนในอัลกุรอาน ว่าถ้าคุณถูกกดขี่ข่มเหงคุณต้องลุกขึ้นสู้ เขาถือว่าการกดขี่ข่มเหงเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเสียอีก การต่อสู้จึงเป็นหน้าที่ ผู้ที่สู้แล้วตายจะได้ไปสวรรค์ แต่ถ้าเขาไม่ลุกขึ้นสู้เขาจะลงนรก แต่จริงๆ แล้วหลักในการต่อสู้ของอิสลามตามอัลกุรอาน จะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณถูกขับไล่หรือกดขี่จากผู้ปกครองเพียงเพราะคุณเป็นมุสลิมเท่านั้น
ส่วนถ้าจะโค่นล้มเผด็จการ คุณจะอ้างอะไรก็อ้างไปแต่อย่าอ้างศาสนา เพราะเป็นสิ่งที่ผิด คือกระแสหลักของ
ผู้รู้ทางศาสนาอิสลาม เขาวินิจฉัยแล้วว่ามันไม่ควร มันทำไม่ได้ เพราะเมื่อทำสงครามแล้วยืดเยื้อสังคมย่อมเสียหาย ดังนั้นถ้าคุณจะสู้เพราะเรื่องอื่นๆ คุณก็ต้องไปอ้างอย่างอื่น” อาจารย์อิลยาส ระบุ
ส่วนประเทศไทยมีโอกาสที่จะเกิด “ความขัดแย้งทางศาสนา” บ้างหรือไม่? นักวิชาการรายนี้ มองว่า “เป็นไปได้ยาก” เพราะไทยนั้นไม่ได้รบราฆ่าฟันกันหรือกดขี่กันมากเหมือนตะวันออกกลาง การตีความศาสนาของมุสลิมไทยจึงไม่เต็มไปด้วยความรุนแรง ขณะที่พุทธศาสนาที่เป็นศาสนาของคนไทยส่วนใหญ่ ก็ไม่ค่อยมีบทบาททางการเมืองมากนัก จึงทำให้ศาสนิกชนต่างๆ ในไทย อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่าง เมียนมา (พม่า) ที่พระสงฆ์เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเปิดเผย จึงเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิมอยู่เป็นระยะๆ
“การตีความศาสนาเกิดจากสภาวะแวดล้อมรอบตัวผู้ตีความ คุณจะเห็นว่าในกรุงเทพฯ ในพังงา ในภูเก็ต ในกระบี่ ก็เต็มไปด้วยมัสยิด มุสลิมก็อยู่กันดี เพราะสภาพแวดล้อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีระเบิด ไม่มีการต่อสู้ การตีความศาสนาจะค่อนข้างยืดหยุ่น มีแนวทางสันติ มีความเป็นพหุนิยม เขาคงไม่คิดว่าคนที่ต่างจากเขาเขาจะต้องฆ่า เพราะการคิดแบบนั้นมันเป็นการตีความในสภาวะสงคราม ที่ถ้าคุณไม่ฆ่าเขาเขาก็จะฆ่าคุณ
ส่วนพุทธของไทยก็เป็นพุทธสายกลาง ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดการตีกันระหว่างศาสนามันไม่ง่าย ดูอย่างการให้นำพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติซึ่งพยายามทำกันมาทุกรัฐธรรมนูญ พุทธกระแสหลักก็ไม่ได้เห็นด้วย มีเพียงพุทธกระแสรองที่เห็นด้วย ไม่เหมือนพุทธในพม่าที่อิงกับการเมือง อิงกับความเป็นชาติ ในพม่าเราจะเห็นว่าพอมีการประท้วง คนที่อยู่ข้างหน้าเลยคือพระ” อาจารย์อิลยาส ให้ความเห็น
แต่ถึงแม้จะเป็นไปได้ยาก ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรน่าห่วง อาจารย์อิลยาส แสดงความกังวลถึงบรรดาผู้ที่ไปศึกษาในประเทศแถบตะวันออกกลาง แล้วไปรับเอาแนวคิดสุดโต่งจากตะวันออกกลางมาเผยแพร่กับชาวมุสลิมในไทย จุดนี้หน่วยงานภาครัฐของไทยรวมถึงชาวมุสลิมไทยต้องเข้ามาช่วยกันดูแล ไม่ให้ลุกลามจนเกิดความรุนแรงขึ้น
“ในตะวันออกกลางมันเป็นพื้นที่สุดโต่ง อันนี้เข้าใจได้ แต่ในสังคมเราต้องมีกลไกมาทำให้คนเหล่านี้เป็นกลาง เช่น ก่อนที่คุณจะมาสอนในโรงเรียนสอนศาสนา คุณต้องผ่านการทดสอบ ผ่านการอบรม มีประกาศนียบัตรอนุญาต มีการต่ออายุใบอนุญาตเป็นระยะๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ คือต้องคิดกลไกขึ้นมาเพื่อทำให้คนกลุ่มนี้เป็นกลาง นี่เป็นประเด็นที่สังคมมุสลิมจะต้องนำมาพิจารณา” นักวิชาการและชาวมุสลิมรายนี้ ฝากทิ้งท้าย
ทั้งหมดนี้คงพอจะได้ข้อสรุปอยู่บ้างแล้วว่า “ศาสนาอิสลามไม่ได้น่ากลัว” อย่างที่หลายคนคิด แต่ปัญหาคือสภาพแวดล้อมบางอย่างเอื้อต่อการตีความคำสอนไปในเชิงรุนแรงสุดโต่ง เช่นในตะวันออกกลางที่เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟันตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ดังนั้นคนไทยโดยเฉพาะ “ผู้ที่ใช้สื่อออนไลน์” ควรรู้เท่าทัน “มีสติ” ไม่จุดกระแสซ้ำเติมให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลาย
เพื่อรักษา “สันติภาพของศาสนิกชน” อันเป็น “อัตลักษณ์ของชาติไทย” ที่ทั่วโลกชื่นชม..ให้คงอยู่สืบไป!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี