“ไฟใต้” ที่คุกรุ่นอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้คนภายนอกมองว่า “ดินแดนด้ามขวาน” ไม่ค่อยน่าอยู่ และเต็มไปด้วย “ความขัดแย้ง-รุนแรง” แต่แท้ที่จริง“คนภายใน” ต่างพยายามดิ้นรนปรับตัว และแสวงหาความร่วมมือเพื่อนำ “สันติสุข” คืนสู่มาตุภูมิ
หนึ่งในการปรับตัว คือ การฟื้นคืน “พลังชุมชน” ที่มีการบริหารจัดการด้วยคนในชุมชนเอง ผ่านกลุ่มคนที่เรียกว่า “สี่เสาหลัก” ประกอบด้วย โต๊ะอิหม่าม, ผู้ใหญ่บ้าน, ตัวแทนองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) และคนในชุมชน ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและประสานคนในชุมชนในทุกๆ ด้าน แนวคิดและสภาพการทำงานดังกล่าวกลายมาเป็น “ชุมชนศรัทธา” หรือภาษามลายูเรียกว่า...
“กัมปงตักวา”
ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า(กอ.รมน.ภาค 4 สน.) นำมาใช้เป็น “โมเดล” สร้างสันติสุข และ “ดับไฟใต้” ซึ่งเกิด “มรรคผล” ให้เห็นแล้วในหลายพื้นที่
“พล.ต.เอกกมล สินหนัง” ที่ปรึกษาศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 หรือ “ศปป.5 กอ.รมน.” กล่าวว่า แนวคิด “กัมปงตักวา” ตกผลึกและเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2556 อยู่ภายใต้แผนงาน “สนับสนุนผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาประจำปี 2556” เป็นหนึ่งใน “กลยุทธ์” ที่ กอ.รมน.ภาค 4 สน.นำมาใช้สร้างสันติสุขในพื้นที่ โดยมุ่งหวังให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง และช่วยสร้างพลังศรัทธาผ่านการบริหารจัดการของ “สภาซูรอ” ที่มีสี่เสาหลักเป็นคณะกรรมการบริหาร ให้การดำเนินงานด้านต่างๆ ของชุมชนเป็นไปตาม “ฮูกุมปากัต” หรือหลักเกณฑ์ทางศาสนาที่ประกาศออกมาเพื่อควบคุมเรื่องต่างๆ
ที่สำคัญ คือ แบ่งเขตพื้นที่เป็น “เขตบ้าน” กำหนดเขตตามความเป็นเครือญาติ ภูมิประเทศ หรือจำนวนครัวเรือนที่เหมาะสม เพื่อให้ดูแลกันเองอย่างทั่วถึง และควบคุมสมาชิกชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังปลูกฝังความศรัทธาตั้งแต่เด็กแรกเกิด โดยพ่อแม่เป็นผู้อบรม พอโตขึ้นจะเข้ารับการฝึกอ่านอัลกุรอานด้วย “กีรออาตี” หรือภาษาอาหรับ เข้าเรียนโรงเรียนตาดีกา ฟังธรรมบรรยายตามมัสยิดทุกวันศุกร์ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในชุมชนมุสลิมทั่วไป เป็นต้นทุนความศรัทธาที่มีมาตั้งแต่อดีต
“ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่งมาจากการนำเชื้อชาติ ศาสนา และประวัติศาสตร์มาบิดเบือนในลักษณะที่ว่าชาวมุสลิมถูกกีดกันสิทธิด้านศาสนา ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงมีการยั่วยุให้ต่อสู้เพื่อสถาปนาดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนอิสลามอันบริสุทธิ์ ดังนั้นการขับเคลื่อนกัมปงตักวา สร้างชุมชนที่ดำเนินวิถีตามหลักศาสนา จะช่วยยับยั้งการต่อสู้ได้ เพราะวิธีการทั้งหมดจะช่วยขจัดข้ออ้างในการก่อเหตุ นำไปสู่การสร้างความสันติสุขอย่างยั่งยืน” พล.ต.เอกกมล กล่าว
วิถี “กัมปงตักวา” เกิดความสำเร็จขึ้นแล้วที่ “มัสยิดบ้านเหนือ” ซึ่งเป็นชุมชนอิสลามที่อยู่ท่ามกลางชุมชนไทยพุทธ
ต.คูเต่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รวมถึงที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี...
“สุลกีพลี มูซอ” โต๊ะอิหม่ามมัสยิดพ่อมิ่ง อ.ปะนาเระ ถ่ายทอดสันติสุขในพื้นที่ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดกัมปงตักวา ว่า ชุมชนมัสยิดพ่อมิ่งเริ่มใช้แนวคิดกัมปงตักวามานานแล้ว จากนั้น กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้เข้ามาช่วยกำหนดแผนโครงการให้เดินไปอย่าง “ถูกทาง” ซึ่งภายหลังจากที่ใช้แนวคิดนี้ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ปรากฏว่าผู้คนในชุมชนมีความรัก ความสามัคคี และเข้าใจหลักศาสนามากขึ้น ส่งผลให้ความรุนแรงในพื้นที่ช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา “ลดลง” อย่างมาก
“กัมปงตักวา” เป็นแนวทางที่ศาสนาอิสลามบัญญัติไว้อยู่แล้ว เพียงชุมชนนำมาประยุกต์ใช้ สร้างให้เกิดความศรัทธาต่อพระอัลเลาะห์ เท่านี้ผู้คนก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและสามัคคี
นั่นจะนำมาซึ่ง “สันติสุข” อย่างแท้จริง...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี