เชื่อว่าวันนี้ คงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจที่เรียกกันติดปากว่า AEC อันจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังวันที่ 31 ธ.ค. 2558 แน่นอนว่ามันจะส่งผลหลายๆ อย่างที่คนไทยต้องปรับตัวให้ทัน ไม่ว่าจะเป็นการค้า-การลงทุนที่ผู้ประกอบการไทยจะมีคู่แข่งทางธุรกิจมากขึ้น หรือแรงงานไทยไม่ว่าจะเป็น 7 วิชาชีพพิเศษ (แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก ช่างสำรวจ นักบัญชี) หรือแม้แต่แรงงานสาขาอื่นๆ ที่พบว่าคนไทยมีข้อเสียเปรียบในด้านภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียนก็ตาม
แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อมีการเคลื่อนย้ายแรงงาน สิ่งที่ตามมาด้วยมักจะเป็นปัญหาทางสังคม โดยเฉพาะสภาพครอบครัวที่อาจเรียกได้ว่า “บ้านแตกสาแหรกขาด” เนื่องจากพ่อหรือแม่ หรือทั้งพ่อและแม่ต้องไปทำงานในต่างถิ่น และทิ้งลูกให้อยู่กับผู้สูงอายุในบ้าน ซึ่งด้วยวัยที่ห่างกันเกินไป ทำให้การสื่อสารและความเข้าใจอาจจะไม่ตรงกัน ทำให้เด็กโตมาอย่างขาดความอบอุ่นได้ อย่างที่กำลังเป็นปัญหาในปัจจุบัน กรณีคนวัยทำงานจากต่างจังหวัดต้องเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ
“เด็กได้อยู่กับพ่อแม่น้อยลง ยกตัวอย่างข้อมูลของประเทศไทย สัดส่วนของเด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2 ในปี 2523 เพิ่มเป็นร้อยละ 8 ในปี 2549 ในขณะที่ดูจากบางโครงการ เช่นโครงการกาญจนบุรี บอกว่าร้อยละ 30 ของเด็กอายุ 13-17 ปี มีประสบการณ์ไม่ได้อยู่กับพ่ออย่างน้อย 1 ปี ร้อยละ 18 ไม่ได้อยู่กับแม่อย่างน้อย 1 ปี ในช่วงชีวิตวัยเด็กของเขา สาเหตุหลักที่ลูกไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ หรือพ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง คือการย้ายถิ่นไปทำงานที่อื่น”
เป็นเสียงจาก รศ.ดร.อารี จำปากลาย นักวิชาการด้านประชากรศาสตร์ ที่กล่าวในงานประชุมวิชาการด้านประชากรและสังคม 2556 จัดโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเป็นการศึกษาผลกระทบของครอบครัว ทั้งนี้ได้อ้างอิงการศึกษาในหลายโครงการ เช่นโครงการ CHAMPSEA ที่ศึกษากรณีการย้ายถิ่นไปทำงานต่างประเทศของประชากร 4 ชาติ คืออินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม หรือโครงการกาญจนบุรี ที่เน้นศึกษากรณีลูกไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ อันมีสาเหตุจากการย้ายถิ่นไปทำงานในต่างประเทศของครอบครัวไทย
อ.อารี กล่าวว่าประเทศไทยนั้นเป็นทั้งประเทศปลายทางของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน (พม่า ลาว กัมพูชา) ขณะเดียวกัน แรงงานไทยจำนวนไม่น้อยก็ออกไปทำงานยังประเทศอื่นๆ รวมแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน โดยประเทศยอดนิยมของชาวไทยที่หวังไป “ขุดทอง” ในปัจจุบัน คือไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่นและอิสราเอล ขณะที่แรงงานจากภาคใต้ (โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดน) นิยมไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย
แต่หากมองในทางสถิติ นักวิชาการรายนี้ระบุว่า ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด ว่าการที่พ่อแม่ย้ายถิ่น จริงๆ แล้วมีข้อดีหรือข้อเสียกับลูกหลานกันแน่ โดยจากโครงการกาญจนบุรี พบว่าครอบครัวที่พ่อตัดสินใจทิ้งครอบครัวไปหารายได้ในต่างประเทศ เด็กจะมีโอกาสได้เรียนต่อในระดับสูง (มัธยมศึกษาขึ้นไป) มากกว่าเด็กที่พ่อไม่ได้ไปทำงานต่างประเทศ เช่นเดียวกับโครงการนางรอง ที่ระบุว่าเงินที่ได้จากการไปแสวงหาโอกาสในต่างแดน เป็นรายได้สำคัญที่ต่อโอกาสทางการศึกษาให้กับบุตรหลาน
“เราเจอว่า ครอบครัวที่เด็กอยู่ในสถานะยากจน มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่า เพราะฉะนั้นจึงบอกถึงนัยยะทางบวกในการย้ายถิ่น ก็จึงมีความคิดกันโดยทั่วไปว่า เงินที่ส่งกลับมาจากการย้ายถิ่นเนี่ย ช่วยพยุงฐานะครอบครัว แล้วก็ช่วยทดแทนผลกระทบในทางลบที่อาจจะเกิดจากการย้ายถิ่นได้” อ.อารี กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง พบว่าครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูก เด็กมักจะมีปัญหาสุขภาพจิต เช่นความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) และพัฒนาการตามวัยจะช้ากว่าครอบครัวที่พ่อแม่ยังอยู่กับลูก หรือในโครงการ CLAIM ที่เน้นศึกษาครอบครัวไทยที่พ่อแม่ย้ายถิ่นทำงานภายในประเทศ พบว่าเด็กที่พ่อแม่ย้ายถิ่นไปทำงานไกลบ้าน มีแนวโน้มที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูงกว่าครอบครัวที่พ่อแม่อยู่พร้อมหน้า นอกจากนี้ร้อยละ 60 ของเด็กในครอบครัวดังกล่าวยังระบุว่ามีอาการซึมเศร้า ขาดความอบอุ่นเพราะคิดถึงพ่อแม่
แต่ในทางกลับกัน อ.อารี พบว่าการย้ายถิ่นก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป จากกรณีศึกษาของต่างประเทศ เช่นฟิลิปปินส์พบว่าเด็กที่พ่อแม่ย้ายถิ่นไปทำงานต่างประเทศ มีโอกาสได้เรียนในโรงเรียนเอกชน (ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าโรงเรียนของรัฐบาล) สูงกว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่ได้ไปต่างประเทศ รวมถึงมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ตามวัยมากกว่า
หรือแม้แต่ประเด็นสุขภาพจิต แม้ไทยกับอินโดนีเซียจะพบปัญหาดังกล่าวในเด็กที่พ่อแม่ย้ายถิ่น แต่ในฟิลิปปินส์ผลกลับตรงกันข้าม คือเด็กที่พ่อแม่ไปทำงานต่างประเทศ มีสุขภาพจิตที่ดีกว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่ได้ไปทำงานต่างประเทศ ทั้งนี้มีบางคนให้เหตุผลว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะปัญหาการกระจายรายได้ ทำให้คนฟิลิปปินส์มองว่าการไปทำงานในต่างแดน เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ครอบครัวของตนหลุดพ้นจากความยากจนได้
“ฟิลิปปินส์เขามีประวัติศาสตร์การย้ายถิ่นไปต่างประเทศค่อนข้างยาวนาน มีการเตรียมตัว เตรียมแรงงานที่จะไป แล้วก็เตรียมด้วยว่ามันจะมีผลกระทบอะไรกับครอบครัวในถิ่นต้นทาง มี NGO (องค์กรพัฒนาเอกชน) ค่อนข้างเยอะที่ดูแลเรื่องพวกนี้อยู่ ว่าไปทำงานแล้วส่งเงินกลับมา จะช่วยครัวเรือนยังไงให้ใช้เงินนั้นคุ้มค่ามากที่สุดกับครัวเรือนต้นทาง เพื่อที่จะไม่เกิดผลกระทบในทางลบ
อันนั้นเขาเตรียมกันมาค่อนข้างนาน เราจะเจอ Paper (ผลการศึกษาทางวิชาการ) เกี่ยวกับฟิลิปปินส์เยอะแยะ ที่พูดถึงว่าทำยังไงเด็กที่พ่อแม่ไปทำงานต่างประเทศ จะยังอยู่ได้ในสังคม แล้วก็เป็นเด็กเก่ง เขาทำยังไง ขณะที่ของไทยยังไม่มีความสนใจในประเด็นนี้มากนัก”
อ.อารี กล่าวทิ้งท้าย พร้อมทั้งเปรียบเทียบกรณีของครอบครัวไทย ว่าหากเป็นครอบครัวที่พ่อแม่ไปทำงานต่างประเทศ จากการศึกษาพบว่าชุมชนรอบข้างไม่ค่อยกังวลนักเพราะครอบครัวดังกล่าวค่อนข้างจะได้รับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ดีพอสมควร
ตรงกันข้ามกับครอบครัวที่พ่อแม่ย้ายถิ่นทำงานภายในประเทศ ยังถือว่าน่าเป็นห่วงกว่าเพราะผลตอบแทนทางเศรษฐกิจก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก และจากโครงการ CLAIM ที่ศึกษาการย้ายถิ่นทำงานในประเทศของครอบครัวไทย ยังระบุด้วยว่าผู้ที่รับหน้าที่ดูแลเด็กที่พ่อแม่ไปทำงานต่างถิ่น (เช่นปู่ย่าตายาย) ก็ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจิตไปด้วย
การอพยพย้ายถิ่นไปทำงานไกลบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในประเทศหรือต่างประเทศ ด้านหนึ่งคือความจำเป็นของปากท้องและการยกระดับคุณภาพชีวิต เนื่องจากเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น โอกาสเข้าถึงปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่มีคุณภาพของบุตรหลานก็จะมากขึ้นด้วย แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องแลกมาด้วยสภาพครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูก อันจะมีผลต่อสุขภาพจิตและการเจริญเติบโตของเด็ก อย่างไรก็ตาม เราคงไม่อาจห้ามไม่ให้มีการย้ายถิ่นได้ เพราะทุกคนย่อมหวังอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญ คือการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการทำหน้าที่อย่างเหมาะสมของคนอื่นๆ ที่ต้องรับภาระแทนพ่อแม่ อันจะนำไปสู่แนวทางการสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ให้เด็กๆ เหล่านี้ เติบโตมาเป็นประชากรที่มีปัญหาต่อไปในอนาคต
ปรารถนา ถนอมเมือง
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี