วันพุธ ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / สกู๊ปพิเศษ
ครอบครัวกับการ “ทำงานไกลบ้าน” ปัญหาใหญ่..ที่ยังมองไม่เห็นทางออก

ครอบครัวกับการ “ทำงานไกลบ้าน” ปัญหาใหญ่..ที่ยังมองไม่เห็นทางออก

วันพฤหัสบดี ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556, 02.00 น.
Tag :
  •  

เชื่อว่าวันนี้ คงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจที่เรียกกันติดปากว่า AEC อันจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังวันที่ 31 ธ.ค. 2558 แน่นอนว่ามันจะส่งผลหลายๆ อย่างที่คนไทยต้องปรับตัวให้ทัน ไม่ว่าจะเป็นการค้า-การลงทุนที่ผู้ประกอบการไทยจะมีคู่แข่งทางธุรกิจมากขึ้น หรือแรงงานไทยไม่ว่าจะเป็น 7 วิชาชีพพิเศษ (แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก ช่างสำรวจ นักบัญชี) หรือแม้แต่แรงงานสาขาอื่นๆ ที่พบว่าคนไทยมีข้อเสียเปรียบในด้านภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียนก็ตาม

แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อมีการเคลื่อนย้ายแรงงาน สิ่งที่ตามมาด้วยมักจะเป็นปัญหาทางสังคม โดยเฉพาะสภาพครอบครัวที่อาจเรียกได้ว่า “บ้านแตกสาแหรกขาด” เนื่องจากพ่อหรือแม่ หรือทั้งพ่อและแม่ต้องไปทำงานในต่างถิ่น และทิ้งลูกให้อยู่กับผู้สูงอายุในบ้าน ซึ่งด้วยวัยที่ห่างกันเกินไป ทำให้การสื่อสารและความเข้าใจอาจจะไม่ตรงกัน ทำให้เด็กโตมาอย่างขาดความอบอุ่นได้ อย่างที่กำลังเป็นปัญหาในปัจจุบัน กรณีคนวัยทำงานจากต่างจังหวัดต้องเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ


“เด็กได้อยู่กับพ่อแม่น้อยลง ยกตัวอย่างข้อมูลของประเทศไทย สัดส่วนของเด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2 ในปี 2523 เพิ่มเป็นร้อยละ 8 ในปี 2549 ในขณะที่ดูจากบางโครงการ เช่นโครงการกาญจนบุรี บอกว่าร้อยละ 30 ของเด็กอายุ 13-17 ปี มีประสบการณ์ไม่ได้อยู่กับพ่ออย่างน้อย 1 ปี ร้อยละ 18 ไม่ได้อยู่กับแม่อย่างน้อย 1 ปี ในช่วงชีวิตวัยเด็กของเขา สาเหตุหลักที่ลูกไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ หรือพ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง คือการย้ายถิ่นไปทำงานที่อื่น”

เป็นเสียงจาก รศ.ดร.อารี จำปากลาย นักวิชาการด้านประชากรศาสตร์ ที่กล่าวในงานประชุมวิชาการด้านประชากรและสังคม 2556 จัดโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเป็นการศึกษาผลกระทบของครอบครัว ทั้งนี้ได้อ้างอิงการศึกษาในหลายโครงการ เช่นโครงการ CHAMPSEA ที่ศึกษากรณีการย้ายถิ่นไปทำงานต่างประเทศของประชากร 4 ชาติ คืออินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม หรือโครงการกาญจนบุรี ที่เน้นศึกษากรณีลูกไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ อันมีสาเหตุจากการย้ายถิ่นไปทำงานในต่างประเทศของครอบครัวไทย

อ.อารี กล่าวว่าประเทศไทยนั้นเป็นทั้งประเทศปลายทางของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน (พม่า ลาว กัมพูชา) ขณะเดียวกัน แรงงานไทยจำนวนไม่น้อยก็ออกไปทำงานยังประเทศอื่นๆ รวมแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน โดยประเทศยอดนิยมของชาวไทยที่หวังไป “ขุดทอง” ในปัจจุบัน คือไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่นและอิสราเอล ขณะที่แรงงานจากภาคใต้ (โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดน) นิยมไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย

แต่หากมองในทางสถิติ นักวิชาการรายนี้ระบุว่า ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด ว่าการที่พ่อแม่ย้ายถิ่น จริงๆ แล้วมีข้อดีหรือข้อเสียกับลูกหลานกันแน่ โดยจากโครงการกาญจนบุรี  พบว่าครอบครัวที่พ่อตัดสินใจทิ้งครอบครัวไปหารายได้ในต่างประเทศ เด็กจะมีโอกาสได้เรียนต่อในระดับสูง (มัธยมศึกษาขึ้นไป) มากกว่าเด็กที่พ่อไม่ได้ไปทำงานต่างประเทศ เช่นเดียวกับโครงการนางรอง ที่ระบุว่าเงินที่ได้จากการไปแสวงหาโอกาสในต่างแดน เป็นรายได้สำคัญที่ต่อโอกาสทางการศึกษาให้กับบุตรหลาน

“เราเจอว่า ครอบครัวที่เด็กอยู่ในสถานะยากจน มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่า เพราะฉะนั้นจึงบอกถึงนัยยะทางบวกในการย้ายถิ่น ก็จึงมีความคิดกันโดยทั่วไปว่า เงินที่ส่งกลับมาจากการย้ายถิ่นเนี่ย ช่วยพยุงฐานะครอบครัว แล้วก็ช่วยทดแทนผลกระทบในทางลบที่อาจจะเกิดจากการย้ายถิ่นได้” อ.อารี กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง พบว่าครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูก เด็กมักจะมีปัญหาสุขภาพจิต เช่นความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) และพัฒนาการตามวัยจะช้ากว่าครอบครัวที่พ่อแม่ยังอยู่กับลูก หรือในโครงการ CLAIM ที่เน้นศึกษาครอบครัวไทยที่พ่อแม่ย้ายถิ่นทำงานภายในประเทศ พบว่าเด็กที่พ่อแม่ย้ายถิ่นไปทำงานไกลบ้าน มีแนวโน้มที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูงกว่าครอบครัวที่พ่อแม่อยู่พร้อมหน้า นอกจากนี้ร้อยละ 60 ของเด็กในครอบครัวดังกล่าวยังระบุว่ามีอาการซึมเศร้า ขาดความอบอุ่นเพราะคิดถึงพ่อแม่

แต่ในทางกลับกัน อ.อารี พบว่าการย้ายถิ่นก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป จากกรณีศึกษาของต่างประเทศ เช่นฟิลิปปินส์พบว่าเด็กที่พ่อแม่ย้ายถิ่นไปทำงานต่างประเทศ มีโอกาสได้เรียนในโรงเรียนเอกชน (ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าโรงเรียนของรัฐบาล) สูงกว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่ได้ไปต่างประเทศ รวมถึงมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ตามวัยมากกว่า

หรือแม้แต่ประเด็นสุขภาพจิต แม้ไทยกับอินโดนีเซียจะพบปัญหาดังกล่าวในเด็กที่พ่อแม่ย้ายถิ่น แต่ในฟิลิปปินส์ผลกลับตรงกันข้าม คือเด็กที่พ่อแม่ไปทำงานต่างประเทศ มีสุขภาพจิตที่ดีกว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่ได้ไปทำงานต่างประเทศ ทั้งนี้มีบางคนให้เหตุผลว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะปัญหาการกระจายรายได้ ทำให้คนฟิลิปปินส์มองว่าการไปทำงานในต่างแดน เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ครอบครัวของตนหลุดพ้นจากความยากจนได้

“ฟิลิปปินส์เขามีประวัติศาสตร์การย้ายถิ่นไปต่างประเทศค่อนข้างยาวนาน มีการเตรียมตัว เตรียมแรงงานที่จะไป แล้วก็เตรียมด้วยว่ามันจะมีผลกระทบอะไรกับครอบครัวในถิ่นต้นทาง มี NGO (องค์กรพัฒนาเอกชน) ค่อนข้างเยอะที่ดูแลเรื่องพวกนี้อยู่ ว่าไปทำงานแล้วส่งเงินกลับมา จะช่วยครัวเรือนยังไงให้ใช้เงินนั้นคุ้มค่ามากที่สุดกับครัวเรือนต้นทาง เพื่อที่จะไม่เกิดผลกระทบในทางลบ

อันนั้นเขาเตรียมกันมาค่อนข้างนาน เราจะเจอ Paper (ผลการศึกษาทางวิชาการ) เกี่ยวกับฟิลิปปินส์เยอะแยะ ที่พูดถึงว่าทำยังไงเด็กที่พ่อแม่ไปทำงานต่างประเทศ จะยังอยู่ได้ในสังคม แล้วก็เป็นเด็กเก่ง เขาทำยังไง ขณะที่ของไทยยังไม่มีความสนใจในประเด็นนี้มากนัก”

อ.อารี กล่าวทิ้งท้าย พร้อมทั้งเปรียบเทียบกรณีของครอบครัวไทย ว่าหากเป็นครอบครัวที่พ่อแม่ไปทำงานต่างประเทศ จากการศึกษาพบว่าชุมชนรอบข้างไม่ค่อยกังวลนักเพราะครอบครัวดังกล่าวค่อนข้างจะได้รับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ดีพอสมควร

ตรงกันข้ามกับครอบครัวที่พ่อแม่ย้ายถิ่นทำงานภายในประเทศ ยังถือว่าน่าเป็นห่วงกว่าเพราะผลตอบแทนทางเศรษฐกิจก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก และจากโครงการ CLAIM ที่ศึกษาการย้ายถิ่นทำงานในประเทศของครอบครัวไทย ยังระบุด้วยว่าผู้ที่รับหน้าที่ดูแลเด็กที่พ่อแม่ไปทำงานต่างถิ่น (เช่นปู่ย่าตายาย) ก็ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจิตไปด้วย

การอพยพย้ายถิ่นไปทำงานไกลบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในประเทศหรือต่างประเทศ ด้านหนึ่งคือความจำเป็นของปากท้องและการยกระดับคุณภาพชีวิต เนื่องจากเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น โอกาสเข้าถึงปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่มีคุณภาพของบุตรหลานก็จะมากขึ้นด้วย แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องแลกมาด้วยสภาพครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูก อันจะมีผลต่อสุขภาพจิตและการเจริญเติบโตของเด็ก อย่างไรก็ตาม เราคงไม่อาจห้ามไม่ให้มีการย้ายถิ่นได้ เพราะทุกคนย่อมหวังอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญ คือการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการทำหน้าที่อย่างเหมาะสมของคนอื่นๆ ที่ต้องรับภาระแทนพ่อแม่ อันจะนำไปสู่แนวทางการสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ให้เด็กๆ เหล่านี้ เติบโตมาเป็นประชากรที่มีปัญหาต่อไปในอนาคต

ปรารถนา ถนอมเมือง

SCOOP@NAEWNA.COM

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

(คลิป) 'ฮุนมาเนต'สั่งสอน! 'อุ๊งอิ๊งค์'จุกทุกดอก อับอายขายขี้หน้า!!

กลุ่มแฟนคลับ ททบ.5 แห่ให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 2 ในการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ

‘บิ๊กเล็ก’ขอทำงาน โยน‘ปรับครม.’ถามผู้ที่เกี่ยวข้อง เหตุไม่ได้เจอหัวหน้ารทสช.เลย

'Jeffy'จาก SAUCE BKK ปล่อยซิงเกิลใหม่ 'ฝันถึงเธอ (REM)'กับการติดอยู่ในลูปความคิดถึง

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved