“สกู๊ปหน้า 5” เคยนำเสนอปัญหาของระบบ “เกษตรพันธสัญญา” (Contract Farming) ไปแล้ว ในวันนี้จึงขอนำอีกมุมหนึ่งมานำเสนอบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลครบทั้ง 2 ด้านประกอบกัน โดยไม่นานมานี้ ชัย วัชรงค์ นักวิชาการอิสระ เขียนบทความชื่อ “คอนแทร็คฟาร์มมิ่ง บนเส้นทางสร้างสรรค์และเป็นธรรม” กล่าวว่า ระบบเกษตรพันธสัญญา ส่วนใหญ่ถูกมองในแง่ลบ ทั้งที่อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
เนื่องจากในอดีต อุตสาหกรรมการเกษตรเป็นระบบตัวใครตัวมัน ซึ่งในความเป็นจริง เกษตรกรรายย่อยแม้จะมีที่ดินและแรงงานเป็นของตนเอง แต่ก็มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งองค์ความรู้ เงินทุน เทคโนโลยีและอำนาจต่อรอง ย่อมไม่มีทางที่จะแข่งขันกับผู้ประกอบการได้
ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการ มีพร้อมทั้งองค์ความรู้ เงินทุน เทคโนโลยีและเครือข่ายมากมายในการหาวัตถุดิบ แต่ก็มีปัญหาคือหากจะลงทุนเองย่อมต้องใช้งบประมาณมหาศาลไปกับการซื้อที่ดิน รวมทั้งในอนาคตหากกิจการขยายขึ้น ก็สุ่มเสี่ยงต่อการขาดแคลนแรงงาน ดังนั้นจึงเกิดแนวคิดในการนำทั้ง 2 ฝ่ายมารวมกันขึ้นด้วยนิยาม “รายเล็กผลิต รายใหญ่รับซื้อ รับประกันตลาด และป้อนเทคโนโลยีให้”
นักวิชาการอิสระรายนี้ กล่าวต่อไปว่า ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าในปี 2553 มีเกษตรกรในระบบเกษตรพันธสัญญา
ทั้งประเทศราว 1.5 แสนราย แต่ในความเป็นจริงน่าจะมีกลุ่มที่ไม่ได้จดทะเบียนด้วย หรืออาจกล่าวได้รวมๆ ว่า..เกษตรกรในระบบนี้น่าจะมีราว 2 แสนราย แต่เป็นแบบที่มีสัญญาจริงๆ ไม่น่าจะเกิน 3 หมื่นราย
โดยนิยามคำว่า “มีสัญญาจริงๆ” หมายถึง การทำงานของบริษัทขนาดใหญ่กับเกษตรกร ที่มีเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการอย่างชัดเจน เช่น ถ้าจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนกัน เกษตรกรต้องมีที่ดินเป็นของตนเอง ซึ่งต้องไม่ใช่ที่ดินในเขตป่าสงวน เกษตรกรต้องมีทุนของตนเองร้อยละ 30 ไม่เป็นผู้ติดยาเสพติดหรือต้องโทษคดีอาญา นอกจากนี้เกษตรกรจะต้องมีแรงงานในครอบครัวอย่างน้อย 3 คนขึ้นไป เป็นต้น
ขณะที่คำว่า “ไม่มีสัญญาจริงๆ” หมายถึง การทำงานของผู้ประกอบการรายกลางๆ และรายใหญ่ที่ไม่ใหญ่มาก อาจเป็นพวก
เอเย่นต์ขายสินค้าเกษตร ที่เห็นบริษัทขนาดใหญ่มีการทำระบบนี้จึงลงมือทำบ้าง โดยกลุ่มนี้จะไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร และมีรูปแบบที่แตกต่างจากของบริษัทขนาดใหญ่ เช่น พ่อค้ารับซื้อพืชผลทางการเกษตรที่ต้องการผลผลิตที่แน่นอนก็นำปัจจัยการผลิตไปให้ก่อนแล้วรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร
กลุ่มนี้จะไม่มีมาตรฐานสูงเหมือนกลุ่มแรก เกษตรกรไม่ต้องลงทุนมากเหมือนกลุ่มแรก เกษตรกรมีโรงเรือนเปิด นายทุนท้องถิ่นก็เอาหมูไปให้ เอาอาหารไปให้ โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไรมากมาย ลักษณะนี้เรียกว่า “ปล่อยเกี๊ยว” เป็นรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ และกลุ่มเกษตรพันธสัญญาในลักษณะนี้ มีอยู่เป็นจำนวนมาก และมากกว่ากลุ่มที่มีสัญญาอย่างเป็นทางการมากนัก
แม้กระทั่งระบบแบบมีสัญญาเป็นทางการ ก็ยังแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1.กลุ่มที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม คือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีองค์ความรู้ มีนักวิชาการเข้าไปส่งเสริมเกษตรกร มีการส่งกำลังบำรุงให้เกษตรกรเลี้ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม บริษัทในกลุ่มนี้ จะเชื่อว่า การแบ่งงานกันทำระหว่างบริษัทกับเกษตรกร จะต้อง win-win ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย หากบริษัทเอาเปรียบเกษตรกร อาจจะไปไม่รอดด้วยกันทั้งคู่
2.กลุ่มที่มีสัญญาเหมือนกันแต่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่เป็นธรรม เช่น บางบริษัทที่เมื่อไปสนับสนุนเกษตรกรแล้ว แต่ไม่มีการพัฒนาพันธุ์สัตว์ให้ดี ไม่มีฝ่ายวิชาการเข้าไปให้ความรู้ อาหารสัตว์ที่ผลิตมาก็มีคุณภาพไม่มาตรฐาน หรือเวลาที่ภาวะตลาดแย่ กลุ่มนี้ก็ลดกำลังผลิต โดยไม่สนใจว่าจะกระทบเกษตรกรอย่างไร กรณีนี้เกิดจากผู้ประกอบการไม่มีคุณธรรม หรือในทางกลับกันเกษตรกรก็อาจเป็นฝ่ายผิดสัญญา แอบนำผลผลิตไปขายให้ผู้ประกอบการรายอื่นก็เป็นไปได้
ดังนั้นจึงไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์แบบเหมารวม เช่นที่นักวิชาการบางคนระบุว่า เกษตรกรไทยที่มีหนี้สินน่าเป็นห่วงนั้นมีอยู่ราว 2 ล้านครัวเรือนแล้วเชื่อมโยงว่าเป็นเพราะระบบเกษตรพันธสัญญาแต่ข้อเท็จจริงนั้นเกษตรกรไทยมีอยู่ 5.8 ล้านครัวเรือน แต่อยู่ในระบบเกษตรพันธสัญญาเพียง 2 แสนครัวเรือนเท่านั้น เท่ากับว่าที่เหลืออีก 5.6 ล้านครัวเรือน เป็นเกษตรกรอิสระ
นอกจากนี้ ข้อมูลจากบริษัทแห่งหนึ่งที่มีเกษตรกรแบบพันธสัญญาราว 5,000 ราย ในจำนวนนี้ประสบความสำเร็จในอาชีพถึงร้อยละ 95 คือสามารถชำระหนี้ธนาคารจนครบและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนอีกร้อยละ 3 ไม่ประสบความสำเร็จจากเหตุสุดวิสัย เช่นไม่มีทายาทสืบทอด ประสบอุบัติเหตุ หรือถูกเวนคืนที่ดิน และมีเพียงร้อยละ 2 เท่านั้นที่ล้มเหลวเพราะความไม่ซื่อสัตย์ ตัวเลขนี้สะท้อนชัดเจนว่ากลุ่มเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จมีมากกว่าที่ล้มเหลวจึงเกิดคำถามว่าที่ผ่านมาหลายฝ่ายเน้นการนำเสนอในเชิงลบผ่านมุมมองของเกษตรกรจำนวนน้อยหรือไม่?
หรือข้อกล่าวหาที่ว่าผู้ประกอบการมักเอาเปรียบเกษตรกร คุณชัย มองว่าคนที่เป็นนักธุรกิจสมัยใหม่ จะเชื่อว่าไม่จำเป็นต้อง
เอาเปรียบ เพราะหากมีการจัดการที่ดี ทั้งองค์ความรู้ที่มีตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิต ด้วยการแบ่งปันกับเกษตรกร ย่อมจะก่อประโยชน์แก่ทั้ง 2 ฝ่ายที่จะต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน ดีกว่าการเอาเปรียบที่รังแต่จะบั่นทอนความสัมพันธ์ให้สั้นลง
ขณะที่ข้อกล่าวหาว่าระบบเกษตรพันธสัญญาอยู่ได้ด้วยการเร่งผลผลิตซึ่งต้องใช้สารเคมีอันเป็นสาเหตุของการทำลายสิ่งแวดล้อม ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการผลิตสมัยใหม่จะใช้สารเคมีน้อยลง เนื่องจากต้องการลดต้นทุน ภาคธุรกิจที่มีองค์ความรู้จะใช้ระบบการจัดการ ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ต้องใช้ยาช่วย ทำให้ปริมาณการปล่อยของเสียจากสารเคมี มีน้อยกว่าการเลี้ยงของเกษตรกรทั่วๆ ไปที่ไม่มีมาตรฐานมากำหนด
“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ควรต้องมีเครือข่ายคอนแทร็คฟาร์มมิ่ง แต่ต้องเป็นเครือข่ายที่มองระบบนี้อย่างสร้างสรรค์ เสนอผลประโยชน์ที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ซึ่งหากเครือข่ายเล่นบทบาทได้ดังกล่าว รัฐบาลควรให้งบสนับสนุนเพื่อให้เกิดการศึกษา และสะท้อนภาพที่เป็นจริงออกมา ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดสัญญากลางที่เป็นธรรม เพื่อให้นวัตกรรมทางการเกษตรนี้ สร้างประโยชน์ต่อทุกฝ่ายได้อย่างยั่งยืน ไม่กลายเป็นแพะ ที่ถูกกล่าวหา และปรากฏแต่เรื่องราวดราม่าเก่าๆ เช่นที่ผ่านมา” คุณชัย กล่าวทิ้งท้าย
ชญาณ์นนท์ ภิญโญพงศ์โอฬาร
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี