“อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..ไม่มีอะไรเลยที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรเลยที่จะคงอยู่ในสภาพเดิมไปตลอด และไม่มีอะไรเลยที่มีตัวตนอยู่จริง”
เชื่อว่าชาวพุทธส่วนใหญ่ต้องคุ้นเคยกับคำกล่าวนี้เป็นอย่างดี พุทธพจน์ที่แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 2500 ปี แต่ยังคงใช้ได้ไม่ล้าสมัย ว่าด้วยทุกสรรพสิ่งที่ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนสภาพไปด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พืช หรือสิ่งของต่างๆ ล้วนอยู่ภายใต้กฎทั้ง 3 นี้ ที่เรียกว่า “ไตรลักษณ์” ทั้งสิ้น
และการที่เราทั้งหมดล้วนต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย (หรือเสื่อมสลาย) เป็นปกติวิสัยของธรรมชาติอยู่เสมอ หลายคนจึงแสวงหาความสุขด้วยการสะสมทรัพย์สินอย่างไม่หยุดยั้ง และแทบจะไม่เคยเผื่อแผ่กลับคืนสู่สังคม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว แม้จะสะสมมากเท่าไร เมื่อตายแล้วย่อมไม่สามารถเอาไปได้แม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่จะติดตามตัวเราไปยังภพหน้าหากว่ามีอยู่จริง หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นที่จดจำและกล่าวขานของคนรุ่นหลังสืบไป มีเพียงสิ่งที่คนผู้นั้นได้ทำไว้ เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
“บุคคลมีทรัพย์สินก็ได้ใช้จ่ายเพียงเป็นประโยชน์ต่อตนในชาตินี้เท่านี้ เว้นมีทรัพย์บางอย่างที่นำติดตัวไปได้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า นั่นคือ ทานน้ำใจ”
เสียงจาก พระปลัดชำนาญ โสภโณ วัดสวัสดิ์วารีสีมาราม กรุงเทพมหานครฯ เทศนาในหัวข้อ “แปลงสินทรัพย์ให้เป็นบุญกันเถอะ” ในงานเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ จัดโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่เพิ่งจะผ่านไปไม่นานนี้ เตือนสติผู้คนให้ถึงแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควร
พระอาจารย์ได้กล่าวถึงทรัพย์สินไว้ว่า “ทรัพย์ที่แท้จริงคือ การให้ทาน การถือศีล และการภาวนา” สินทรัพย์ คือ เครื่องประโลมใจ ดังจะเห็นได้ว่าสำหรับปุถุชนคนทั่วไปแล้ว เมื่อมีสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เงินทอง บ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็ปลื้มใจ หรือการมีลูกที่ดีก็เป็นเครื่องปลื้มใจของพ่อแม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสินทรัพย์แต่เพียงนอกกาย จะสามารถใช้ได้ก็แต่เพียงชาตินี้เท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในชาติต่อไปได้
แต่การให้ทาน (เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีเมตตา) ถือศีล (งดเว้นจากการกระทำที่ไม่ถูกไม่ควร) และการภาวนา (ฝึกจิตใจให้สงบ คิดดีทำดีเป็นนิสัย) จะเป็นสินทรัพย์ที่เป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ซึ่งเป็นสมบัติเฉพาะบุคคล ผู้ใดจะมาแย่งไปไม่ได้ ยึดไปไม่ได้ แม้กระทั่งโจรผู้ร้ายก็มิอาจปล้นไปได้ และจะอยู่ติดตัวผู้กระทำไปตลอดไม่มีวันสูญหาย ถือเป็นทรัพย์สินที่ยั่งยืนที่สุดของมนุษย์
“ตามพระพุทธศาสนาเรียกว่า อริยทรัพย์ คือทรัพย์ในใจที่ประเสริฐ มี 7 ประการ ด้วยกันดังนี้ 1.ศรัทธา..คือความเชื่อ การยึดมั่นในความดีที่จะปฎิบัติได้ 2. ศีล..คือการประพฤติถูกต้องดีงาม 3. หิริ..คือความละอายต่อบาป 4. โอตตัปปะ..คือความเกรงกลัวต่อบาปและความชั่วของตนเอง 5. พาหุสัจจะ..คือความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก ได้รู้มาก 6.จาคะ..คือความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น 7.ปัญญา..คือความรู้และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเหตุผล ซึ่งเป็นทรัพย์ที่บุคคลทุกวัยควรพึงหามาใส่ตนเอง” พระปลัดชำนาญ โสภโณ กล่าว
พระอาจารย์กล่าวต่อไปว่า การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นบุญนั้นสามารถทำได้ง่ายๆ เริ่มจากการให้ทานสละทรัพย์สินนอกกายแค่เล็กน้อยให้แก่ผู้อื่นที่เดือดร้อน การรักษาศีลทำแต่ความดีละเว้นความชั่วทั้งปวง และการภาวนาฟังเทศน์ฟังธรรม อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าทำบุญทำทานมามาก แต่กลับไม่ได้อะไรตอบแทน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ผลตอบแทนที่ได้จากการประพฤติดีปฏิบัติชอบ มีด้วยกันหลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น
“การให้ผลของบุญในแต่ละบุคคลก็แตกต่างกัน อาจจะไม่ได้จากทรัพย์สิน เช่นบางคนเกิดมาไม่ได้ร่ำรวยแต่มีสุขภาพที่ดี มีมิตรที่ดี บางคนร่ำรวยหน้าสวยงามแต่ว่าขาดปัญญา โดนหลอกเป็นประจำ นั้นก็เป็นผลของบุญ ศาสนาจึงมุ่งเน้นให้เชื่อถึงเรื่องการกระทำ เชื่อในบาปกรรม เราทำอะไรได้ผลเช่นนั้น ดังคำสุภาษิตที่ว่า บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น” พระอาจารย์กล่าวย้ำ
นอกจากนี้ พระปลัดชำนาญ โสภโณ ยังฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “แสงไฟขจัดความมืดดำ แสงธรรมขจัดความมืดมน สว่างตาด้วยไฟ สว่างใจด้วยแสงธรรม” อันหมายถึงทรัพย์สินที่มีก็เปรียบเสมือนแสงไฟที่จะขจัดความทุกข์ทางร่างกายของเรา แต่สิ่งที่จะขจัดความทุกข์ในจิตใจได้คือธรรมะ ซึ่งก็คือวิถีปฏิบัติที่ดีงาม อันจะช่วยให้ความทุกข์ในใจที่เกิดจากความอยากได้อยากมี ค่อยๆ ลดน้อยลงจนดับได้ในที่สุด
ท่ามกลางกระแสแห่งวัตถุนิยมบนโลกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน ผู้คนต้องทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตนเอง จนอาจหลงลืมการมีน้ำใจ และความคิดที่ดีงามต่อเพื่อนมนุษย์ ดังจะเห็นได้จากสังคมทุกวันนี้ที่หลายคนมักบ่นกันเสมอว่า มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความเคร่งเครียดเย็นชา จนดูแล้วน่าหดหู่ใจ
เราจึงหวังว่า ธรรมะที่นำมาเสนอในวันนี้ น่าจะช่วยเตือนสติได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
นัดดา หอมพิกุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี