วงล้อหมุนรอบให้ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป เดินทางมาดวลแข้งอีกครั้ง

รายการนี้คือ “น้องบอลโลก” มีคนเฝ้าจับตามองทัวร์นาเมนท์นี้ เป็นลำดับที่ 3 รองจาก ฟุตบอลโลก หรือเวิลด์คัพ และกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ หรือ โอลิมปิกเกมส์

ในหนนี้ก็เช่นเดียวกันกับทุกสมัย ผมรับหน้าที่เขียนต้นฉบับถ้วยแชมป์ที่คล้ายกับ “แจกัน” ณ ที่ “แนวหน้า” เป็นยูโร ครั้งที่ 5 ในชีวิตการเขียนหนังสือ...พร้อมกับเป็นยูโรครั้งที่ 8 ที่ได้ติดตามชมเกม

ย้อนกลับไปสมัยที่ได้ชมเกมหนแรกก็คือ ยูโร 1988 ที่ประเทศเยอรมันตะวันตก เป็นเจ้าภาพ ในยุคที่ยังไม่ทุบกำแพงเบอร์ลิน การดวลแข้งรอบสุดท้ายมีทั้งหมดเพียง 8 ชาติเข้าร่วมดวลแข้ง

แถมยังเป็นยูโรครั้งสุดท้าย ก่อนการล่มสลายของ สหภาพโซเวียต และได้เปลี่ยนโฉมหน้าของฟุตบอลรายการนี้ไปตลอดกาล!!!

การถ่ายทอดมีผ่านมายังเมืองไทยที่ “ททบ.5” โชคดีมากที่ฟุตบอลเมืองเบียร์ “เตะเร็ว” ทำให้ได้ดูเกมตั้งแต่ 2 ทุ่ม โดยเฉพาะนัดชิงชนะเลิศ

ว่ากันว่า ฟุตบอลคลาสสิก คือ ยุค 80 จะจริงหรือไม่นั้น แต่ละยุคแต่ละสมัยคงค้านกันสุดลิ่ม แต่สำหรับยูโร 1988 ถือเป็นอีกหนึ่งทัวร์นาเมนท์ที่คลาสสิกจริง ๆ

“ไก่ทองคำ” ฝรั่งเศส แชมป์เก่าตกรอบคัดเลือก หลังจากหมดยุคของ “แมจิก สแควร์” รวมถึงม้ามืดในบอลโลก 1986 อย่าง เบลเยียม ก็ไม่รอด แต่สิ่งที่มาทดแทนและกลายเป็นตำนานสำคัญของวงการฟุตบอล นั่นคือไฮไลท์เหมือนกับบอลโลก 1974

เป็นศึก “ดัทช์ปะทะดอยช์”

........เสียงเย้ยหยันดังกระหึ่ม เมื่อ เยอรมันตะวันตก เจ้าภาพบอลโลก 1974 คว่ำ เนเธอร์แลนด์ ยุคโททั่ลฟุตบอล ของ “ท่านนายพล” ไรนุส มิทเชลล์ ที่เหมือนกับจะเป็นทีมขึ้นคาน เป็นทีมไร้เทียมทานลงได้ 2-1 ทำให้ เนเธอร์แลนด์ ชวดแชมป์โลกตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้

มีการ์ตูนคลาสสิกที่นำมาล้อเลียนในช่วงยูโร 1988 ด้วยว่า “เฮ้ยไอ้หนู ดูโน่นซิเห็นมั้ยเค้าเป็นแชมป์โลก”….เป็นภาพการ์ตูน ผู้ใหญ่ใส่เสื้อบอลเยอรมัน ชี้ให้เด็กที่ใส่เสื้อเนเธอร์แลนด์มองถ้วยเวิลด์คัพ

มันเจ็บปวดมาก เจ็บปวดแบบความดันขึ้นกันเลยทีเดียว

กระทั่งยูโร 88 เนเธอร์แลนด์ ที่หายไปจากสารบบลูกหนังถึง 10 ปี นับแต่ได้รองแชมป์บอลโลกสมัยที่ 2 ติดต่อกันในปี 1978 พวกเขากลับมาพร้อมกับระบบการเล่นที่น่าสนใจ เป็นโททั่งฟุตบอลอีกยุคสมัย และคนคัดท้ายยังเป็น “ท่านนายพล” ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ยาตราทัพบุกแดนอินทรีเหล็ก

มิทเชลล์ มาหนนี้ไม่มี “นักเตะเทวดา” โยฮัน ครัฟฟ์ อยู่ในทีม และทำท่าจะ “ไม่รอด” เพราะแพ้ สหภาพโซเวียต ในนัดแรก
0-1 ก่อนจะผ่าทีมส่ง มาร์โก้ แวน บาสเท่น กับ เออร์วิน คูมัน พี่ชายแท้ๆ ของ โรนัลด์ คูมัน ลงมาเป็นตัวจริง

ปรากฏว่า แวน บาสเท่น ยิงแฮททริก ส่ง อังกฤษ ตกรอบสนิท 3-1 ก่อนที่ “ฟลายอิ้งดัทช์แมน” จะน็อกจอมพลิกล็อก ไอร์แลนด์ 1-0 เข้าตัดเชือกกับเจ้าภาพ ที่ได้แชมป์กลุ่ม เอ หลังจากชนะ 2 เสมอ 1

เนเธอร์แลนด์ ที่เปลี่ยนทีมมาตลอด 3 เกมแรก เลือกชุดที่ชนะ อังกฤษ ลงสนาม แต่ทำท่าจะไม่รอดเมื่อเสียจุดโทษแบบน่ากังขาและเสียประตู ทำให้ มิทเชลล์ แก้เกมส่ง วิม คีฟท์ ที่ยิงประตูดับไอร์แลนด์ ลงมาเสริมอีกคน

ดัทช์ได้จุดโทษคืน เจอร์เก้น โคห์เลอร์ ไปฟาวล์ แวน บาสเท่น แบบไม่เคลียร์เหมือนกัน และเป็น โรนัลด์ คูมัน ยิงเข้าไป จากนั้นเกมอึดอัดชนิดที่อีโน 3 ซอง ก็เอาไม่อยู่ กระทั่งเหลืออีก 2 นาทีสุดท้าย

แวน บาสเท่น สลัดหนีการประกบของ โคห์เลอร์ เป็นหนที่สองของเกมก่อนจะสไลด์ตัวยิงผ่าน ไอเค่ อิมเมล เข้าไปตุงตาข่าย ทำให้ “ดัทช์แมน” ได้ชิงชนะเลิศ และโคจรมาเจอกับ โซเวียต อีกครั้ง

ท่านนายพล ลบแค้นได้สำเร็จ โดยเฉพาะกับ “แดร์ ไกเซอร์” ฟรานซ์ เบ๊คเค่นบาวเออร์ ที่เจอกันเมื่อนัดชิงบอลโลก 1974 ที่หนนั้น ฟรานซ์ เป็นกัปตัน แต่หนนี้มาในบทบาทของบุนเดสเทรนเนอร์

ตอนนั้นใครเจอ โซเวียต ต้องหนาวหมด เพราะแทบไม่มีใครรู้ข้อมูล นักบอลคือสไตล์สายทหาร แข็งแกร่ง, เป็นระบบ และเทคนิคดีมาก ๆ ทีมนั้นคือ อเล็กเซ มิคาอิลเชงโก้, อเล็กซานเดอร์ ซาวารอฟ, อีกอร์ เบลานอฟ และโอเล่ห์ โปรตาซอฟ ที่สำคัญด่านสุดท้ายคือ ไรนาต ดาซาเยฟ นายประตูมือ 1 ของโลก

ว่ากันว่า เหนียวแน่นไม่แพ้กับ “หมึกดำยักษ์” เลฟ ยาชิน โกล์ ในตำนานชุดแชมป์ยูโรทีมแรกปี’60

แต่ด้วยการเล่นที่ “ท็อปฟอร์มทั้งทีม” ทำให้ เนเธอร์แลนด์ กำชัย 2-0 จากลูกโขกที่แรงกว่าลูกเตะของ รุด กุลลิท กัปตันทีมหัวงูเก็งก็อง และลูกยิงสุดสวยแทบจะไม่มีมุมของ แวน บาสเท่น

พูดกันง่าย ๆ จะยิง ดาซาเยฟ ทั้งทีต้องยิงกันอย่างนั้น

บวกกับ ฮันส์ แวน บรอยเคเล่น นายประตูก็เซฟจุดโทษของ เบลานอฟ เอาไว้ได้อีก ทำให้ “ฟลายอิ้งดัทช์แมน” เป็นแชมป์ยูโร 1988 อย่างเต็มภาคภูมิ

ยังจำได้...ให้หลังจากนั้น 3-4 เดือน มีโปสเตอร์มาขายเป็นรูป 11 ตัวจริงดัทช์ ราคา 20 บาท อาบมันอย่างดี ปรากฏว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทั้งที่โปสเตอร์นั้นเล็กกว่าขนาดปกติที่ทุกคนเคยซื้อ

จบจากรายการนั้น แข้งดัทช์ขายดี รุด กุลลิท กับ แฟรงค์ ไรจ์การ์ท ย้ายไปร่วมทัพ “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน ตาม แวน บาสเท่น ที่ไปอยู่ก่อนหน้านั้น และให้หลังเพียงปีเดียว “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ดึง เจอร์เก้น คลินส์มันน์ ไปร่วมงานกับ โลธาร์ มัทเธอุส และอันเดรียส เบรเม่ห์ เพื่อสร้างสตอรี่ “3 ทหารเสือดอยช์” ไปสู้กับ “3 ทหารเสือดัทช์” แต่ก็ไม่สำเร็จ โค่นมิลานและพวกดัทช์ในกัลโช่ เซเรีย อา ไม่ได้

....นี่คือความทรงจำจากยูโรหนแรก และเชื่อว่ายูโรหนนี้ที่จะเปิดฉากขึ้นในวันศุกร์ จะมี “สตอรี่ลูกหนัง” ถ่ายทอดไปจากรุ่นสู่รุ่นเหมือน

เฉกเช่นวันนั้น....เมื่อ 28 ปีที่แล้ว!!!

บี แหลมสิงห์