ความผิดหวังต่อเนื่องของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ยังผลให้เรื่องราวของ อาร์แซน เวนเกอร์ กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง
กับประเด็นที่ว่า สมควรแก่เวลาหรือยัง กับการยุติบทบาทการคุมทัพที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
1 เดือนหลังจากได้รับการยกย่องให้เป็น “ผู้ชนะแห่งตลาดนักเตะ” เพราะเขาดีลสำคัญกับ ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง และสลับตัวส่ง อเล็กซิส ซานเชซ ไปแลกกับ เฮนริค มาคิตาเรี่ยน มาร่วมทีม รวมถึงมัดใจ เมซุต โอซิล ให้อยู่กับทีมต่อไปได้สำเร็จ
วันนี้ เวนเกอร์ กำลังไร้ที่ยืนในถิ่นของตัวเองอีกครั้ง
หลังจากพลาดท่าแพ้ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 ครั้ง 2 ครา ติดต่อกันในเวลาห่างกันเพียง 4 คืน พลาดถ้วยแชมป์ลีกคัพ และอันดับห่างไกลไปเรื่อยๆ ในการจะไปแชมเปี้ยนส์ลีก
ทุกคนจึงย้อนกลับไปว่า การต่อสัญญาใหม่ 2 ปี เมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว เป็นความผิดพลาดหรือไม่ของทั้งบอร์ดบริหาร และตัวของ เวนเกอร์ เอง
ในซีซั่นที่ผ่านมา ถือว่าเก้าอี้ของเวนเกอร์ โอนไปเอียงมาโงนเงนจะไปแหล่มิไปแหล่
เป็นปรากฏการณ์ที่แฟนบอลประท้วงเพื่ออยากให้ เวนเกอร์ ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากทำทีมถอยหลังมากกว่าเดินหน้า
อย่างที่ผมเคยเขียนไปเมื่อปีก่อนว่า “10 ปีแรก” กับ “10 ปีหลัง” ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
10 ปีแรก เวนเกอร์ เริ่มสตาร์ททำงานแบบแฟนบอลยังงงๆ ว่า บอร์ดบริหารไปเอาใครมาทำทีม ชื่อนี้แทบจะไม่เป็นที่รู้จัก
ทันทีที่รับงาน เวนเกอร์ จัดการเซ็น ปาทริค วิเอร่า กับ เรมี่ การ์ด จากฝรั่งเศส เข้ามาในวันเดียวกัน เมื่อ 4 สิงหาคม 1996 ในราคา 3.5 ล้านปอนด์ พร้อมกับช่วยตกแต่งบัญชีสโมสรได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือปล่อย 2 ระเบิดเวลาอย่าง จอห์น ฮาร์ทสัน กับ พอล ดิ๊กคอฟ ออกจากทีม ได้เงินมา 6 ล้านปอนด์ และไปคว้า นิโกลาส์ อเนลก้า มาร่วมทีม
เรียกว่าประหยัดตั้งแต่ซีซั่นแรก ก่อนจะจบที่ 3
จากนั้นปีเดียว เวนเกอร์ พาทีมได้แชมป์พรีเมียร์ลีกทันที หลังจากเติมอาวุธหนักอย่าง มาร์ค โอเวอร์มาร์ส กับ มานู เปอตีต์
ชื่อเสียงของ เวนเกอร์ กลายเป็นคนที่หลายคนรู้จัก และจับตามอง คนไทยยุคนั้นยังเรียกชื่อผิดๆ ถูกๆ ทั้ง เวนเกอร์, เวงเกอร์, วองแจร์ หรือ วงเชร์ โชคดีนะไม่มี “วงแชร์”
ก่อนจะกลายเป็นคู่ปะทะที่คลาสสิกที่สุดตลอดกาลกับ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแมนฯยูไนเต็ด
.....เวนเกอร์ ทำให้โลกเห็นที่ชัดเจนในหลายๆ เรื่อง และอยู่ในทุกสถานการณ์ที่ชั่วอายุคนอาจจะยังไม่เคยเป็น
ตัวอย่างคือ ปฏิรูปสโมสรจากเจ้าของฉายา “น่าเบื่อ” มาเป็นสุดยอดทีมที่ “แตะต้องไม่ได้” ด้วยการพาทีมเป็น “แชมป์ไร้พ่าย” เมื่อปี 2003
โลกได้รู้ไอเดียของเขาที่เลือกปฏิเสธที่จะต่อสัญญานักเตะอายุในวัยที่จะใกล้ “เลขสาม”
ย้ายสนามที่ใช้มาอย่างยาวนาน มาอยู่สนามแห่งใหม่
ซึ่งเป็นช่วงเวลาวัดใจ เนื่องจากต้องระทมตรมตรอมไร้งบประมาณระหว่างย้าย ไฮบิวรี่ มายัง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อปี 2006 ไม่ได้ซื้อใครแบบจั๋งหนับ 2-3 ปี แม้จะมีแอบซื้อบ้างแต่ถือว่าเป็นการ “ตอด” มากกว่า และไม่ค่อยจะมือเติบเท่าไหร่นัก
ยกเว้น 3 ซีซั่นก่อนที่ซื้อแบบเป็นบ้าเป็นหลัง จนต้องทำงานในยุค “สมองไหล” เสียนักเตะสำคัญต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการเสียให้กับ แมนฯซิตี้ แบบแทบจะกินรวบ
ตัวอย่างเป็นอาทิ ก็คือ ปาทริค วิเอร่า ปี 2005, แอชลี่ย์ โคล ปี 2006, อเล็กซานเดอร์ เคล็บ ปี 2008, มาติเยอ ฟลามินี่ ปี 2008, เอ็มมานูแอล อเดบายอร์ กับ โคโล่ ตูเร่ ปี 2009, ซามีร์ นาสรี่, กาแอล กลีชี่ กับ เชส ฟาเบรกาส ปี 2011, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ กับ อเล็กซ์ ซง ปี 2012, บาการี่ ซานญ่า ปี 2014 ล่าสุดก็ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน, ธีโอ วัลค็อตต์ และอเล็กซิส ซานเชซ
ที่สำคัญ ผมมองว่าการเสียมือขวาสามัคคีอย่าง แพท ไรซ์ ไปเมื่อปี 2012 ส่งผลต่อการทำงานของ เวนเกอร์ อย่างมาก
ไรท์ มีส่วนสำคัญอย่างมากเพราะเป็น “คนใน” ที่รู้ทุกซอกทุกมุม และรู้ธรรมชาติของทีม จากที่เคยเล่นกับทีมนาน 13 ปี และเข้ามาทำงานโค้ชเยาวชนตั้งแต่ปี 1984 และขึ้นมาเป็นมือขวาของเวนเกอร์ ตั้งแต่ปี 1996 รวมถึงทำงานร่วมกันถึง 16 ปี
10 ปีแรกเขาเซ็นนักบอลราคาไม่แพงแต่มาเป็นหลักให้ทีมกวาดสารพัดแชมป์ อาทิ ปาทริค วิเอร่า, เธียร์รี่ อองรี, โรแบร์ ปิแรส, กิลแบร์โต้ ซิลวา, เฟรดริก ลุงเบิร์ก, เยนส์ เลห์มันน์ รวมถึงตัวฟรีแต่เป็นประเด็นอย่าง โซล แคมป์เบลล์
แต่ 10 ปีหลังเขาใช้เงินแบบเดิม และเริ่มที่จะซื้อแหลกลาญ แต่เฉลยข้อสอบออกมามันไม่เหมือนกับ 10 ปีแรก โดยเฉพาะการห่างร้างไกลแชมป์ลีกสูงสุดเป็นปีที่ 14
หนักสุดก็คือ ทำทีมตกม้าตายในช่วง “หลังวันวาเลนไทน์” แบบฉายหนังม้วนเดิม ทำให้สาวกกูนเนอร์ส ต้องอกหักหลังวันแห่งความรักซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะแชมเปี้ยนส์ลีกที่ตกรอบ 16 ทีม ถึง 7 ปีซ้อน แฟนบอลย่อมรับไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา และที่หนักเลยก็คือซีซั่นนี้ได้เล่นแค่ยูโรป้าลีก
จุดหนึ่งที่หลายคนพูดกันเยอะไม่เบา ก็คือ เวนเกอร์ ไม่ซื้อนักบอล เรื่องนี้จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ลองนับดูดีๆ ตั้งแต่ย้ายสนามในปี 2006 จากนั้นมีกระโดดแรงหลายครั้ง ยับเหมือนกันนะครับในแต่ละที
ปี 2008 ซื้อ ซามีร์ นาสรี่ จากมาร์กเซย 12 ล้านปอนด์ ซื้อ อังเดร อาร์ชาวิน จากเซนิต 15 ล้านปอนด์
ปี 2009 ซื้อ โทมัส แฟร์มาเล่น จากอาแจ๊กซ์ 10 ล้านปอนด์
ปี 2010 ซื้อ โลรองต์ กอสซิแอลนี่ จากลอริยงต์ 8.5 ล้านปอนด์
ปี 2011 ซื้อ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลดแชมเบอร์เลน จากเซาแธมป์ตัน 12 ล้านปอนด์, มิเกล อาร์เตต้า จากเอฟเวอร์ตัน 10 ล้านปอนด์, แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ จากเบรเมน 8 ล้านปอนด์ และซานโต๊ส จากเฟเนบาห์เช่ 6.2 ล้านปอนด์
ปี 2012 ซื้อ ลูคัส โพดอลสกี้ จากโคโลญจน์ 10.9 ล้านปอนด์, โอลิวิเยร์ ชิรูด์ จากมงต์เปลิเยร์ 12.8 ล้านปอนด์, ซานติ กาซอร์ล่า จากมาลาก้า 15 ล้านปอนด์, นาโช่ มอนเรอัล จากมาลาก้า 8.5 ล้านปอนด์
ปี 2013 ซื้อ เมซุต โอซิล โครมเดียว 42.5 ล้านปอนด์
ปี 2014 ซื้อ อเล็กซิส ซานเชส จากบาร์ซ่า 30 ล้านปอนด์, กาเบรียล จากบียาร์เรอัล 11.3 ล้านปอนด์, แดนนี่ เวลเบ๊ค จากแมนฯยู 16 ล้านปอนด์, คัลลั่ม แชมเบอร์ จากเซาแธมป์ตัน 11 ล้านปอนด์, มาติเยอ เดบูชี่ จากนิวคาสเซิ่ล 12 ล้านปอนด์, ดาบิด ออสปีน่า จากนีซ 3.2 ล้านปอนด์ และคริสเตียน บีลิค จากลิเกีย วอร์ซอว์ 2.4 ล้านปอนด์
ปี 2015 ซื้อ ปีเตอร์ เช็ก จากเชลซี 10 ล้านปอนด์, โมฮาเหม็ด เอลนานี่ จากบาเซิ่ล 7.4 ล้านปอนด์
ปี 2016 ซื้อ ชโคดราน มุสตาฟี่ จากบาเลนเซีย 35 ล้านปอนด์, กรานิต ชาก้า จากกลัดบัค 30 ล้านปอนด์, ลูคัส เปเรซ จาก ลา กอรุนญ่า 17.1 ล้านปอนด์
ปี 2017 ซื้อ อเล็กซงด์ ลากาแซตต์ เป็นสถิติทีมที่ 46.5 ล้านปอนด์ ก่อนจะซื้อ โอบาเมยอง ทุบสถิติ 56 ล้านปอนด์ และมาคิตาเรี่ยน สลับแลกกับ อเล็กซิส
ไหน.....ใครว่า เวนเกอร์ ไม่ซื้อ!?!?!?!
ตัวเลขการใช้เงินมหาศาลขนาดนี้ แต่กลับทำทีมอกหักมายาวนาน แม้จะเบิ้ลแชมป์เอฟเอ คัพ ถือว่าไม่เพียงพอ แต่บอร์ดบริหารเลือกที่จะ “ไม่แตะ” เวนเกอร์ ก็เพราะถือว่าร่วมหัวจมท้ายกันมาตลอด ทั้งในยามมั่งคั่ง และในยามยาก
จะหาคนที่ไหนมาทำทีมได้แบบนี้
ทั้งการบริหารงานทีมฟุตบอลระดับโลก และช่วยบอร์ดบริหารปรับงบดุลสโมสรนอกจาก เวนเกอร์ นี่บอกตรงๆ ว่า ไม่มีอีกแล้ว แต่.........ถึงเวลานี้โลกมันเปลี่ยน แฟนบอลรุ่นใหม่ที่มาซัพพอร์ตทีมในยุคใหม่ๆ ต้องการความเปลี่ยนแปลง จนเกิดเหตุการณ์เขียนป้ายไล่ และเดินประท้วงใส่ อาร์แซน แห่ง อาร์เซนอล
เป็นภาพที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่า วันหนึ่งจะได้เห็นคนมาประท้วงเพื่อปลด เวนเกอร์ ออกจากตำแหน่ง เปรียบง่ายๆ เลยคือผู้อยู่อาศัยมาประท้วงเจ้าของบ้าน
แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว
ภาพแฟนบอลรุ่นจิ๋วร่ำไห้ในเกมนัดชิงลีกคัพ รวมถึงแฟนบอลที่ออกจากสนามนับพันคน ตั้งแต่เหลือเกมถึง 20 นาที มันบอกอะไรได้ชัดเจนกว่าการ “ถือป้ายประท้วง”
แปลกดีครับ ตรงที่ทีมเลือกไปเล่นระบบ 3-4-2-1 แล้วไม่เสถียร กระทั่งกลับมาเล่น 4-2-3-1 ทำท่าจะดีขึ้นมา แต่ดันกลับเลือกไปเล่น 3-4-2-1 ในเกมสำคัญอย่างนัดชิง ก็เลยเละตุ้มเป๊ะ
คือบอลมันแพ้ได้ในการเจอกับ แมนฯซิตี้ ทีมคนรวยซื้อแหลกแบบนี้ แต่ก็ไม่ควรที่จะง่ายดายถึงขนาดนั้น
สวยงามแต่ไร้ประสิทธิภาพ, บอลคางเปราะใจไม่ดี และต้องรอเวลาปรับกันใหม่ จะอะไรก็แล้วแต่ ไม่มีข้อแก้ตัวอีกแล้วในเกมกับ ไบรท์ตัน ในวันอาทิตย์นี้
กลายเป็นว่า เกมนี้เป็นเกมสำคัญของ เวนเกอร์ เพราะเขาจะพลาดอีกไม่ได้แล้ว หลังจากพลาดท่าแพ้ต่อเนื่องมา 3 เกมรวด จาก 3 รายการที่ลงเตะ
ถ้าแพ้อีกอาจจะไปต่อไม่ได้
อย่าลืมว่าสักวัน เวนเกอร์ จะต้องเป็นหนึ่งในรูปปั้นแห่งความทรงจำที่หน้าเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ในฐานะสุดยอดกุนซือที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแน่นอน เพราะขนาดลูกน้องอย่าง อองรี, โทนี่ อดัมส์ รวมไปถึงขุนศึกคู่ใจอย่าง เดนนิส เบิร์กแคมป์ ยังถูกปั้นไปเรียบร้อย
นับประสาอะไรกับ เวนเกอร์ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทุกคนรู้จักว่า ทั้งตัวและใจของเขาเป็นกูนเนอร์ส
แต่เมื่อมันฝืนไม่ได้ ก็น่าจะพิจารณาอย่างถ้วนถี่ เพื่อให้จบลงอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนาทีนี้พระเอกกลายเป็นผู้ร้าย ดอกไม้กลายเป็นก้อนอิฐ
ทำอะไรก็ยากไปหมดแล้วจริงๆ
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี