จอห์น เฮนรี่
ย้อนกลับไปเดือนตุลาคม ปี 2010 หรือเพียง 8 ปีก่อน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ เกือบจะต้องโบยบินไปสู่ดิวิชั่น 3 เนื่องจากกำลัง”ล้มละลาย”
ทอม ฮิกส์ กับ จอร์จ ยิลเล็ตต์ สองเจ้าของมะกัน กลายเป็น “ปลิง” แบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อทำหนี้ท่วมสโมสร และถ้าไม่มีใครมาซื้อทีมได้
จะต้องโดนปรับตกชั้นถึง 3 ขั้น เพราะหนี้ทะลุไปกว่า 237 ล้านปอนด์
กลายเป็น “นิวอิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส” หรือ NESV หรือ “เฟนเวย์ สปอร์ตส์” ในปัจจุบันนี่แหละ ที่เข้ามาซื้อสโมสรในราคา 300 ล้านปอนด์ ภายใต้การนำของ จอห์น เฮนรี่ เจ้าของทีมเบสบอล บอสตัน เรดซอกซ์ ในสหรัฐอเมริกา
6 ตุลาคม 2010 ลิเวอร์พูล มีเจ้าของใหม่ จากนั้นทุกอย่างก็เริ่มเดินหน้าอีกครั้ง กระทั่งเป็น “นิว เมน สแตนด์” สำเร็จเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
เป็นสัญญาเมื่อ 8 กรกฎาคม 2011 เฮนรี่ บอกว่า แอนฟิลด์คือตัวเลือกลำดับแรก แต่การ “ขยายสนาม” มีปัญหามากกว่า “ย้ายสนาม”
ในวันที่ จอห์น เฮนรี่ เข้าเทคโอเวอร์สโมสรเมื่อ 8 ปีก่อน (ขวา) การสร้างนิว เมน สแตนด์ คือผลงานการบริหารอันยอดเยี่ยมของ เฮนรี่
“สโมสรสามารถพัฒนาได้โดยไม่ต้องย้ายออกไป เหมือนกับที่ บอสตัน เรดซอกซ์ ทีมเบสบอลของเขา เคยทำได้ในสนามเฟนเวย์ พาร์ค ของพวกเขาเอง” เฮนรี่ กล่าว เมื่อ 23 กันยายน 2012
ในที่สุดอีก 2 ปีต่อมาพอดีเป๊ะ....23 กันยายน 2014 แผนดังกล่าวก็เป็นความจริง เมื่อสโมสรได้ออกแถลงการณ์ว่า แผนการขยายสนามแอนฟิลด์ เพิ่มเป็นราวๆ 59,000 ที่นั่ง ภายในเวลาเกือบ 2 ปี ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการจากคณะกรรมการฝ่ายวางแผนของสภาเมืองเป็นที่เรียบร้อย
เนื่องจาก 2 ครอบครัวสุดท้าย ที่ไม่ได้ย้ายไปไหนนั้น ปรากฏว่า ท่านหนึ่งเสียชีวิต และอีกท่านไปอยู่บ้านพักคนชรา
แอนฟิลด์ใหญ่โตขึ้น และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด และต้องยอมรับว่า เฟนเวย์ หรือ FSG สามารถบริหาร “หนี้เน่า” ให้กลายเป็น “หนี้ดี”.....ประมาณว่า คลองแสนแสบ น้ำใสขึ้นมาอะไรประมาณนั้น
ต้องยอมรับข้อนึงก็คือ ลิเวอร์พูล เริ่มต้นช้ากว่าหลายๆ สโมสร โดยเฉพาะคู่ปรับสำคัญอย่าง แมนฯยูไนเต็ด ทั้งที่จริงการปล่อยสโมสรไปเข้ามือนายทุนจากอเมริกา เกิดขึ้นห่างกันไม่กี่ปี
แต่โชคร้ายเป็นของหงส์แดง
เมื่อได้คนไม่จริงใจอย่าง ทอม ฮิกส์ กับ จอร์จ ยิลเล็ตต์ เข้ามาบริหาร
จากเดิมคือสร้างสนามใหม่ 300 ล้านปอนด์ สุดท้ายกลายเป็นใช้เงินจำนวนเท่ากันทำอัฒจันทร์ใหม่ในยุคของ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่
สโมสรเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคของเฟนเวย์ เข้าสู่ปีที่ 8 อย่างแข็งแกร่ง และเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ประกาศผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ เมื่อมีรายได้โดยรวมเพิ่มขึ้น 62 ล้านปอนด์ หรือเท่ากับ 364 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 16,380 ล้านบาท สำหรับหนึ่งปีนับถึง 31 พฤษภาคม 2017
ถือว่าเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยทีเดียว
ทีมมีเงินเข้ามาหลังจากสนามความจุเพิ่มขึ้นอีก 8,000 กว่าที่ รวมถึงการดำเนินธุรกิจทั้งในและนอกสนามซึ่งอันนี้สำคัญมาก ผมคงจะไม่พูดถึงการซื้อและขายนักเตะ เพราะหาอ่าน
กันง่าย แต่พูดถึงในเรื่องของรอบๆ แอนฟิลด์โฉมใหม่ดีกว่า
เริ่มจาก “ซูเปอร์สโตร์” ที่จากเดิมจะอยู่ใต้ถุนอัฒจันทร์ฝั่งสเปี้ยน ค็อป ได้ทำใหม่ใหญ่โตโอ่อ่า และยืนยันว่า “ทันสมัยที่สุด” ของประเทศอังกฤษ เนื่องจากเพิ่งสร้างใหม่
เช่นเดียวกันกับการสเตเดี้ยมทัวร์ ในราคาไทยเฉียดๆ 1,000 บาท ก็ทันสมัยและค่อนข้างไหลลื่น ไม่กระโดดไปกระโดดมา เดินง่ายไปง่าย
เพราะทำใหม่ออกมา ก็แบบนี้แหละ เพื่อการพาณิชย์เป็นสำคัญ
ขณะที่พื้นที่โดยรอบ ลิเวอร์พูล ได้ทำการกว้านซื้อที่ดินดังกล่าว หลังจากขออนุญาตสภาเมืองเรียบร้อย โดยอนาคตภูมิทัศน์ที่ตอนนี้ถูกปรับแต่งด้วยการล้อมรั้วเป็นความชัดเจนแล้ว การเดินทางไปแอนฟิลด์ในอนาคต จะไม่ธรรมดาแน่นอน
ที่นั่นจะมีโรงแรมของสโมสร อยู่ฝั่งเดียวกับ เมน สแตนด์ ส่วนจุดอื่นๆ ต้องคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด
จากที่มีเพียงแค่ “สนามฟุตบอล” ตอนนี้กำลังจะกลายเป็น “อาณาจักร”
เมื่อได้เห็นกับ “ตาตัวเอง” ผมจึงเข้าใจในตัวของผู้บริหารมากขึ้น และจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดของ เฮนรี่ ในการที่ ลิเวอร์พูล เข้าสู่รอบชิงเจ้ายุโรป หนแรกในรอบ 11 ปี
ยิ่งเข้าใจในการบริหารงานในยุคปัจจุบันที่มันยากมากๆ และไม่ต้องการจะต้องใช้แต่เงิน เงิน แล้วก็เงิน
เฮนรี่ บอกว่า หลายครั้งที่ต้องพบกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยากต่อการตัดสินใจ การจำเป็นต้องขายนักฟุตบอลอันเป็นที่รักของสโมสร และที่สำคัญที่สุดก็คือ การถูกต่อต้านจากแฟนบอล
“บางที อาจเป็นเพราะว่าผมเป็นคนอเมริกัน” เฮนรี่ เปิดใจ “แต่ผมเข้าใจ แม้ว่าจะยากจะเข้าใจว่าทำไมแฟนบอลถึงต้องการให้ผมออกไปจากสโมสร นั่นก็เพราะว่าสโมสรแห่งนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และประเพณีที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนนับล้านทั่วโลกในเกือบทุกประเทศทั่วโลก พวกเรารักนักเตะของเขา แต่ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวเอง”
เจ้าของทีมลิเวอร์พูล กล่าวต่อไปว่า สิ่งหนึ่งก็คือ มันยากที่จะเข้าใจในตัวนักเตะ แต่มันเป็นเหตุผลที่เราจำเป็นต้องรับให้ได้ เราเสียนักเตะชั้นดีอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ กับ คูตินโญ่ ไปให้กับ บาร์เซโลน่า การได้เงินมาไม่ได้คุ้มค่าเลยกับการถูกตำหนิจากแฟนฟุตบอล แต่เราห้ามพวกเขาไม่ได้จริงๆ พวกเขาต้องการอยากจะเล่นให้กับสโมสรที่พวกเขาชื่นชอบ และอยากเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก แต่พวกเราเข้าชิงในถ้วยที่พวกเขาอยากเล่น
กองทัพ “เดอะ ค็อป” กับซีซั่นฉลอง 125 ปี สโมสรที่สุดตื่นเต้น
ในช่วงที่เข้ามากอบกู้สโมสร เฮนรี่ บอกว่า ผมได้ยินแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ไล่ด่าเราให้ตกชั้นหรือโดนปรับตกชั้นไปเลย ตอนนั้นมันยากลำบาก เราเปลี่ยนผู้จัดการทีม และต้องเสีย เฟร์นานโด ตอร์เรส ไปจากทีม ซึ่งผมจำเป็นต้องอนุมัติเงินซื้อ แอนดี้ แคร์โรลล์ ต่อจาก หลุยส์ ซัวเรซ ทั้งที่ไม่ได้รับการการันตีว่า แคร์โรลล์ มีอาการบาดเจ็บหนักขนาดไหน แต่เมื่อฝ่ายปฏิบัติงานร้องขอ ผมก็ต้องลุยกับเค้าด้วย
“ฟุตบอลไม่ใช่เรื่องง่าย” เฮนรี่กล่าว “การสร้างทีมหลังจากเหตุการณ์นั้น ต้องใช้เวลาอย่างมาก เราสูญเสียตำแหน่งในฟุตบอลยุโรป ไม่ได้ไปแม้แต่ถ้วยอะไรเลย จนกระทั่งตอนนี้เราได้กลับไปยืนจุดที่สูงที่สุดที่สโมสรของเราควรเป็น”
“ลิเวอร์พูล มีประวัติศาสตร์ในฟุตบอลยุโรป และมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เพิ่มยอดแฟนฟุตบอลมากยิ่งขึ้นไปจากเดิม มีคนบอกว่า การได้แชมป์ยุโรปยิ่งใหญ่กว่าได้แชมป์พรีเมียร์ลีกใช่มั้ย??
คนส่วนใหญ่อาจจะบอกว่าใช่ แต่อย่าลืมว่า พรีเมียร์ลีกก็คือพรีเมียร์ลีก เป็นลีกระดับโลกที่มีผู้คนเฝ้าติดตามทั้งโลก ดังนั้นจะเอาทั้งสองรายการมาเปรียบเทียบกันไม่ได้”
ทั้งหมดนี้่คือเส้นทางการบริหาร และเส้นทางที่เหลือเชื่อของ ลิเวอร์พูล ที่ทะลุได้ชิงแชมป์ยุโรป ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะเติบโตขึ้น
กลายเป็นทีมที่ทุบเพดานตัวเอง ซื้อนักเตะทะลุ 50 ล้านปอนด์หนแรก และซื้อกองหลังแพงที่สุดในโลก
ถือเป็น 8 ปีที่เหลือเชื่อโดยแท้ ไม่ว่าผลในเกมนัดชิงเจ้ายุโรปที่เคียฟ จะออกเป็นอย่างไร
นาทีนี้ เฮนรี่ ชนะใจแฟนบอลเป็นครั้งแรก...ได้แล้ว!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี