ในชีวิตเป็นนักข่าวนักเขียนเคยเล่าเรื่องราวต่างๆ ของศึกสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งอังกฤษ นั่นคือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มานับครั้งไม่ถ้วน
ในยุคแรกๆ ก็จะเป็นการเขียนเรื่องราวของคู่ปะทะโดยตรงเน้นเรื่องเกมในสนาม กระทั่งมีโอกาสได้เคยไปสัมผัสบรรยากาศจริงทั้งเกมที่แอนฟิลด์ และโอลด์ แทรฟฟอร์ด กระทั่งขึ้นชั้นมาทำทัวร์ดูฟุตบอล พร้อมกับจัดทำเกมคู่นี้มาต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 5
ขอยืนยันว่า อุตสาหกรรมฟุตบอลของสองทีมนี้สำคัญมากๆ
แน่นอนการเปิดโปรแกรมการแข่งขันพรีเมียร์ลีกในทุกๆ ซีซั่นจะเกิดขึ้นประมาณกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งปีนี้ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้ทำการเปิดตัววันที่ 13 มิถุนายน ก่อนหน้าฟุตบอลโลกเปิด 1 วัน เพื่อไม่ให้ถูกเทศกาลดังกล่าวนี้กลบกระแสฟุตบอลของพวกเขา
เบื้องต้นโปรแกรมที่เปิดเผยมาของคู่ปะทะคู่นี้ เกมแรกจะมีขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม 2018 ที่สนามแอนฟิลด์ และเกมที่สองจะมีขึ้นในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2019
ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร.....ใช่มั้ย?!?!?!?
สำหรับแฟนบอลอาจจะไม่แปลกอะไร ยกเว้นความรู้สึกว่า ทำไมปีนี้โปรแกรมดูแปลกๆ ที่คู่นี้ดวลกันในช่วงเดือนธันวาคม เพราะปกติจะต้องเจอกันประมาณเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน
เช่นเดียวกับแมทช์ที่สองของปี ก็จะต้องเจอกันในเดือนมีนาคมเป็นหลัก
ปีนี้เริ่มต้นช้า แต่กลับกันนัดสองขยับมาอยู่เดือนกุมภาพันธ์
จากนั้นไม่นาน ความแปลกก็เกิดขึ้นเมื่อฟุตบอลลีกคัพ หรือ คาราบาว คัพ ประกาศวันแข่งขันนัดชิงชนะเลิศซีซั่นนี้คือวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2019
เมื่อมองปฏิทินดูทุกคนต้องร้อง “อ้าวเฮ้ย....ไม่เหมือนที่คุยกันไว้”
มันเป็นสัปดาห์เดียวกับวันแดงเดือด!!!!
สำหรับแฟนฟุตบอลแน่นอนว่า ทุกคนย่อมอยากให้ทีมของตัวเองประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะถ้วยอะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะฝั่ง ลิเวอร์พูล แม้ว่าจะดูดีขึ้นมาในระบบและรูปแบบการเล่น
แต่ความสำเร็จอันเป็น “รูปธรรม” ยังไม่สามารถที่จะ “จับต้องได้”
แมนฯยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล กระเด็นตกรอบคาบ้านพร้อมกันในเกมคาราบาว คัพ เมื่อกลางสัปดาห์ แต่กลายเป็นผลดีต่อโปรแกรมพรีเมียร์ลีด นัดแดงเดือด เดือนกุมภาพันธ์นี้ ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
แชมป์สุดท้ายของ “หงส์แดง” ต้องย้อนกลับไปในปี 2012 ซึ่งปีนั้น เคนนี่ ดัลกลิช กลับมาคุมทัพแบบเต็มเทอมสมัยที่ 2 ทำไว้ก็ถ้วยลีกคัพนี่แหละ และทำให้ ลิเวอร์พูล ยังเป็นเต้ยของรายการนี้อยู่ต่อไป
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล ทำได้เพียงแค่ “ใกล้เคียง” เท่านั้น และเป็นรองแชมป์ถึง 5 รายการ ประกอบด้วย เอฟเอ คัพ 2012, พรีเมียร์ลีก 2014, ลีกคัพ 2016, ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก 2016 และล่าสุดคือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2018
ลงท้ายปีนี้เริ่มซีซั่นไปแค่ไม่ถึงสองเดือน แม้จะชนะรวดมาทุกนัดที่ลงเล่น แต่มาตกรอบที่หลายคนบอกว่า ไม่เป็นไร แต่ก็ถือว่าเจ็บลึกๆ ได้เหมือนกัน
เช่นเดียวกับ แมนฯยูไนเต็ด แม้ว่าจะเพิ่งร้างราแชมป์ไปเมื่อปีก่อน แต่ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ซีซั่นก่อนก็เบิ้ลแชมป์ลีกคัพ กับ ยูโรป้า ลีก
อย่างไรก็ดี การออกสตาร์ทมาแบบนี้ สาวกของยูไนเต็ด ก็ไม่พอใจที่ทีมรักนอกจากจะเล่นไม่ค่อยจะเอาอ่าวเอาทะเล เป็นทีมประเภท “ผิดผี” ของจริงแล้ว ดันมาตกรอบเร็วอีก
เมื่อมองในจุดของ “ความสำเร็จ” แน่นอนว่า ไม่เป็นที่พอใจเมื่อทีมตกรอบ แต่เมื่อมองกันถึง “ธุรกิจฟุตบอล” น่าสนใจ
เพราะการตกรอบของทั้ง ลิเวอร์พูล และแมนฯยูไนเต็ด พร้อมกันหนนี้ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ
การดำเนินธุรกิจในองค์รวมของเกมแดงเดือด ถือเป็นหนึ่งในวงล้อประจำปีของประเทศอังกฤษเลยก็ว่าได้ ในความย้อนแย้งของพวกเขาก็คือ ไม่ชอบให้ใครมาเที่ยวบ้านเที่ยวเมืองเค้า แต่ถ้าหากไม่มีนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ
ตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปหากินอะไรได้ดีเท่ากับเรื่องท่องเที่ยวเชิงฟุตบอล
โดยเฉพาะคู่ฟุตบอลสัญลักษณ์ประจำประเทศที่ “ยังไงก็ขายได้” ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เมื่อเอ่ยชื่อถึงการปะทะกันของหงส์กับผี ยังเป็นที่ยั่วใจคนทั้งโลกที่อยากมาสัมผัสกับบรรยากาศสักครั้ง
บางคนขอครั้งเดียวในชีวิต บางคนบอกว่ามาแล้วอยากมาอีก
ธุรกิจตรงนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ขอหยิบยกประเด็นที่เคยไปพูดคุยกับคนขายของหน้าโอลด์ แทรฟฟอร์ด มาให้กับทุกท่านได้ทัศนากันอีกสักที
พ่อค้าคนนั้นแกขายอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด หรือ กินด่วนหน้าสนาม เค้าด่า เดวิด มอยส์ เละเทะ พอดีเหตุการณ์วันนั้นคือ แฟนบอลลงขันให้คอปเตอร์บินขึ้นเหนือโอลด์ แทรฟฟอร์ด แล้ว ติดป้ายอำลามอยส์ ซึ่งเป็นเกมระหว่าง ยูไนเต็ด กับ นอริช เมื่อซีซั่น 2013-14 นัดนั้นเป็นนัดแรกที่ มอยส์ ถูกปลด
พ่อค้าคนดังกล่าวผมน้อยประมาณ 9 แสน 5 แกสบถออกมาแบบฟังแทบไม่ทัน แต่ที่แน่ๆ คือด่าเละ ผมถามว่า “ช่วยเล่าตั้งแต่แรกให้ฟังหน่อย”.......เท่านั้นล่ะ................
จับใจความแบบจริงจังก็คือ เขารู้ว่า ซีซั่นหน้า ยูไนเต็ด ไม่ได้เล่น เกมใหญ่อย่างแชมเปี้ยนส์ลีก เกมในบ้านหายไปแน่ๆ 3 นัด
“คุณลองคิดดูซิว่า ไส้กรอกที่ร้านผม รวมไปถึงร้านข้างๆ ชีสเบอร์เกอร์ จะทำอย่างไร เมื่อไม่มีแมทช์แข่ง” เขาว่ามาแบบนั้น
ผมลองขมวดความคิด เข้าใจตรงกันแล้วว่า ทำไมต้องด่า เพราะเงินหายกำไรหด
แฟนบอลกว่า 70,000 คนต่อนัด ลองเอา 3 คูณเข้าไปก็ทะลุ 2 แสนกว่าคน
จำนวนไส้กรอก, เครื่องดื่ม, เบอร์เกอร์ หายไปกี่ชิ้น!?!?!?!?
แล้วทริปทัวร์จากต่างประเทศ ของที่ระลึกต่างๆ ของทีม และ ร้านขายของหน้าสนาม เสียหายไปอย่างมหาศาล
นึกภาพตามแล้วเชื่อมั่นเหลือเกินว่าทุกท่านคงเข้าใจดี
มันมาเอี่ยวกันกับ “แดงเดือด ภาค 2” ประจำปีนี้ของศึกพรีเมียร์ลีก ที่ว่าดันมาตรงกับสัปดาห์เดียวกับนัดชิงลีกคัพ หากว่ากันตามหน้าเสื่อ มีความเป็นไปได้ที่ “ทีมใดทีมหนึ่ง” หรืออาจจะเลยเถิดไปว่า “ทั้งสองทีม” จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในบั้นปลาย
นั่นหมายความว่า ธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศอังกฤษ มีปัญหาขึ้นมาทันที นั่นก็เพราะว่า ฟุตบอลนัดแดงเดือดอาจจะต้องเลื่อนวันแข่ง และเลื่อนไปแบบ “วันไหนก็ไม่รู้”
อธิบายชัดเจนก็คือ กลุ่มธุรกิจจากต่างแดน ไม่สามารถที่จะ “ระบุวันแข่งขัน” และไม่สามารถที่จะ “ระบุวันเดินทาง” ได้อย่างชัดเจน ปฏิทินต่างๆ ที่พักโรงแรม, ร้านอาหาร, สายการบิน ฯลฯ
ทุกอย่างกระทบกระเทือนทั้งหมด
เดือนร้อนยิ่งกว่าไส้กรอกของพี่เค้าอีกนะ!!!
ประเด็นก็คือ ไม่มีใครสามารถจะติดต่อใครได้ ยกเว้นเรื่องของ “ตั๋วเข้าชม” ที่หลายคนจองผ่านเอเย่นต์ หรือจองผ่านสโมสร ทุกอย่างถูก “หยุดเอาไว้” ทั้งหมด กระทั่งมีการทำการตลาดที่ว่า สามารถจองไว้ก่อน แต่ถ้าเลื่อนแข่งขัน คุณสามารถที่จะรับเงินคืนได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์
อ้อ....ราคาตั๋วชั้นหนึ่งตอนนี้ใบละ 550 ปอนด์นะครับ
แต่ถามว่า เมื่อเดินทางไปถึงแล้ว “ไม่ได้ดู” และต้อง “ไปดูคู่อื่น” เพราะโปรแกรมการเดินทางระบุเอาไว้แล้ว นั่นมันคนละเรื่องเลย
ในเรื่องของทริปเฉลี่ยนับพันคนจากทั่วโลกมุ่งหน้าชมเกมนี้ เงินจะประเทศเท่าไหร่ เพราะนับเรียงคนแล้วต้องใช้ประมาณ 150,000 บาทขึ้นไปแน่นอน
ลองคูณ 1,000 เข้าไป......เท่าไหร่แล้วล่ะครับ
ในขณะที่หลายฝ่ายกำลังฝุ่นตลบ ไม่สามารถที่จะจับจองอะไรได้เลย ธุรกิจฟุตบอลในส่วนตรงนี้ที่ต้องเตรียมตัวเดินทางไม่ใช่งานง่าย ต้องมีเวลาในการโปรโมตในการขาย และเตรียมการต้องมี 5 เดือน ลงท้ายกลายเป็นว่า ที่กังวลกันมาหายไปหมดแล้ว
ก็พวกเล่นตกรอบพร้อมกันแบบนี้
เอาเข้าจริงในแง่แฟนบอลย่อมเซ็งเป็นธรรมดา อะไรกันหว่าเตะมาไม่ถึงสองเดือน หายไปแล้ว 1 ถ้วย แต่เมื่อมองในแง่ของผู้ประกอบการ การตกรอบพร้อมกันหนนี้
มันคือมุมที่ดีอีกมุมหนึ่งของการท่องเที่ยวของอังกฤษเลยทีเดียว............
อย่างไรก็ตาม พรีเมียร์ลีก เองก็ดี หรือ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ เองก็ดี รวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเองก็ดี ควรใส่ใจในรายละเอียดมากกว่านี้
การออกโปรแกรมโดยที่ไม่ได้ดูหน้าดูหลัง ดูผลที่จะตามมา มันอาจจะเป็นผลเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะมือระดับเซียนขนาดนี้ ทำไมไม่ดูวันดูเวลาไม่รู้เอาหูเอาตาไปนาไปไร่กันหรืออย่างไร เพราะบทลงท้าย มันอาจจะไม่โชคดีเสมอไป
ความเสียหายมันมากไป แบบไม่ควรจะเป็น
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี