เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอาทิตย์นี้ มีเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น นั่นคือเกมที่เมอร์ซี่ย์ไซด์ ฝั่งสีน้ำเงิน ที่กูดิสัน พาร์ค ระหว่าง “ทอฟฟี่เมน” เอฟเวอร์ตัน เจอกับ “อินทรีผงาด” คริสตัล พาเลซ
แฟนฟุตบอลทอฟฟี่เมน รอคอยความสำเร็จมาเนิ่นนานนับตั้งแต่การได้แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1995 ที่คว่ำ แมนฯยูไนเต็ด ลงได้ที่เวมบลีย์ 1-0 นับนิ้วจากวันนั้นจนถึงวันนี้ยาวนานมากกว่า 23 ปี
เป็นการรอคอยที่นานเหลือเชื่อสำหรับยอดทีมที่อยู่ยั้งยืนยงนับตั้งแต่ก่อตั้งลีกมาจนถึงปัจจุบันอย่างพวกเขา
นาทีนี้แฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ได้เห็นการเอาจริงเอาจังในการเสริมทัพมาตลอดในช่วง 2-3 ปีหลัง แต่ดูเหมือนกับว่า ยังเปี่ยมไปด้วยความสะเปะสะปะ บทจะแพ้ก็แพ้ง่ายเกินไป อย่างเช่นเกมกับ เวสต์แฮม เป็นตัวอย่างชั้นดี
เหมือนกับว่า กูดิสัน พาร์ค มันหมดสิ้นมนต์ขลังเสียแล้วอย่างไร ถึงได้เป็นแบบนี้
พวกเขาหา 11 ตัวจริง อันสุดยอดได้แล้วหรือยัง ทั้งที่มีนักเตะที่น่าสนใจมากกว่าหลายๆ ทีม ด้วยซ้ำไป
การเอาจริงเอาจังของผู้บริหารที่ดูเหมือนจะมากกว่าทำไปเรื่อยๆ แบบ 10 ปีก่อน มันจะทำให้พวกเขาขยับขึ้นมาเป็นทีมระดับท็อปได้อีกหรือไม่
เหลียวไปมองดูอดีต เอฟเวอร์ตัน ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะในยุคที่คนไทยเรียกว่า “อีเวอร์ตัน” ในยุค 80 ที่ถือว่าพวกเขาน่าเกรงขามที่สุดอีกครั้งในตำนานฟุตบอล
เล่นกันแบบดุดัน เล่นกันได้แบบทรงประสิทธิภาพ มี 11 ตัวจริงที่คลาสสิก ที่สำคัญด้วยความเป็นลูกหนังพลังเอฟเวอร์โตเนี่ยน
เรื่องนี้สร้างขึ้นได้โดยผู้จัดการทีม
ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ ยอดกุนซือผู้ปลุกปั้น เอฟเวอร์ตัน ซีซั่น 1984-85 ผงาดแชมป์ดิวิชั่น 1 และคัพวินเนอร์ส คัพ หนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ทีม และอังกฤษ
.....เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นวันครบรอบ 3 ปีแห่งการจากไปของ ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ ยอดกุนซือที่คุมทัพ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ถึง 3 สมัย และเป็นนักบอลที่จงรักภักดีต่อทีม อยู่กับทีม 2 รอบด้วยกัน
เคนดัลล์ เป็นมิดฟิลด์ของทีมชุดแชมป์ดิวิชั่น 1 ในปี 1969-70 อยู่กับทีมนานถึง 7 ปี ก่อนจะย้ายไปเป็นนักบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสโต๊ค ซิตี้ ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ถนนกุนซือ ด้วยการไปเป็น “ผู้เล่น-ผู้จัดการทีม” กับ แบล็คเบิร์น ด้วยวัยเพียงแค่ 33 ปี พิสูจน์ตัวเองด้วยการพาทีมได้รองแชมป์ดิวิชั่น 3 ก่อนจะมาปิดฉากแขวนสตั๊ดที่เอฟเวอร์ตัน
น่าสนใจก็คือ การกลับมาเล่นกับเอฟเวอร์ตันเป็นที่สุดท้าย ด้วยการเข้ามารับตำแหน่ง “ผู้เล่น-ผู้จัดการทีม” ซึ่งเริ่มเป็นกระแสที่น่าสนใจในยุคนั้น เมื่อปี 1981 แต่ เคนดัลล์ ลงเล่นอีกแค่ 4 นัด เพื่อโฟกัสการคุมทัพโดยเฉพาะ
ทีมของเคนดัลล์ น่าสนใจก็คือ มีพลังการเล่นที่ล้นเหลือ มีประสิทธิภาพ และมีความหลากหลาย เขาพาทีมประเดิมด้วยการเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 1984 และปีรุ่งขึ้นคือปีทองของเอฟเวอร์ตันโดยแท้ นั่นคือ ซีซั่น 1984-85
เคนดัลล์ พาทีมครองแชมป์ดิวิชั่น 1 อย่างหมดจด ได้ถึง 90 แต้ม จาก 42 นัด ทิ้งห่าง ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส ถึง 13 แต้ม แน่นอนที่สุดผลงานที่สะท้านทรงคือการเตะแบบ “ไร้พ่าย” ในลีก นับตั้งแต่ บ็อกซิ่งเดย์ 1984 ไปจนถึง 11 พฤษภาคม 1985 ชนะได้ถึง 16 และหลุดเสมอไปแค่ 2 เกม
ห้อง 1985 เลานจ์สุดหรูในกูดิสัน พาร์ค จัดทำเพื่อยกย่องนักเตะชุดประวัติศาสตร์
ก่อนจะไปเป็นแชมป์ยูฟ่า คัพวินเนอร์ส คัพ หลังจากโค่น บาเยิร์น มิวนิค ในรอบตัดเชือก ก่อนจะทุบ ราปิด เวียนนา จากออสเตรีย เด็ดขาด 3-1 ในนัดชิง
พวกเขาเกือบจะได้ 3 แชมป์มาครองด้วยซ้ำ หากไม่พลาดท่าให้กับ แมนฯยูไนเต็ด ในนัดชิงเอฟเอ คัพ ในช่วงต่อเวลา 0-1 อาจเป็นเพราะว่าเพิ่งลงเล่นนัดชิงคัพวินเนอร์สฯ เพียงแค่ 3 วันเท่านั้น
ปีรุ่งขึ้น เคนดัลล์ ได้ปะทะกับ เคนนี่ ดัลกลิช ตำนานอีกฟากฝั่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ ที่รับงานผู้เล่น-ผู้จัดการทีมเหมือนกับปฐมบทของ เคนดัลล์ ในปี 1985 แต่บทสรุปปีนั้น เคนดัลล์ แพ้ให้กับ
ดัลกลิช ทั้งในดิวิชั่น 1 และเอฟเอ คัพ นัดชิง
อย่างไรก็ตาม ในซีซั่นต่อมา 1986-87 เคนดัลล์ พาทีมกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ดิวิชั่น 1 ได้อีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจวางมือไปหาความท้าทายใหม่ที่สเปน
ว่ากันตามเชิง หลังจากมีการปฏิวัติ “สีน้ำเงิน” ที่แอนฟิลด์ เมื่อ 15 มีนาคม 1892 จอร์จ มาห์น หนึ่งในบอร์ดบริหารของเอฟเวอร์ตัน ที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานของเอฟเวอร์ตันคนใหม่ เป็นผู้เสนอไปสร้างสนามใหม่คนละฟากฝั่งกับแอนฟิลด์
เรียกที่นั่นว่า “แมร์ กรีน” และสร้างสนามขึ้นมา นั่นคือ กูดิสัน พาร์ค ห่างจากถิ่นเดิมไปทางสวนสาธารณะสแตนลี่ย์ พาร์ค ระยะทางเพียง 0.99 กิโลเมตร
ยุคของ เคนดัลล์ ถือว่าได้รับการยกย่องเรื่องการเล่นฟุตบอลโดยแท้
นั่นเป็นเพราะสนามกูดิสัน พาร์ค มีห้อง “1985” เพื่อเป็นเกียรติให้กับทีมชุดนั้น โดยไม่มีห้อง 1984 หรือ 1986 แต่อย่างใด มีแค่ห้องเดียว
ด้วยการทำงานด้วยหัวใจที่เข้มข้น 7 ปีของ เคนดัลล์ ทำให้ทีมประสบความสำเร็จได้แชมป์ดิวิชั่น 1 ถึง 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย และคัพ วินเนอร์สคัพ 1 สมัย รวมถึงแชร์ริตี้ ชิลด์ อีก 3 สมัย ปลุกปั้นนักเตะดังทะลุขึ้นห้างมากมาย และเกิดมีความเข้าใจผิดอีกต่างหาก!
เคนดัลล์ เซ็นสัญญา แกรี่ ลินิเกอร์ ในช่วงซัมเมอร์ก่อนเข้าซีซั่น 1985-86
ตัวอย่างชัดเจนก็คือ แกรี่ ลินิเกอร์ หรือที่เรียกกันว่า ไลเนเกอร์ ในตอนนั้น ที่ย้ายจาก เลสเตอร์ ซิตี้ เข้ามาในช่วงซัมเมอร์ ปี 1985 เพื่อมาแทนที่ แอนดี้ เกรย์ ที่ย้ายไปอยู่รังเก่าอย่าง แอสตัน วิลล่า
ปีที่ ลินิเกอร์ อยู่กับ เอฟเวอร์ตัน ก็คือปีที่ เคนดัลล์ แพ้ให้กับ ดัลกลิช นั่นคือ ซีซั่น 1985-86 และแค่ปีเดียวเท่านั้น ลินิเกอร์ ที่ซัดให้ทีมไปถึง 40 ประตู
จากนั้น ลินิเกอร์ ไปสร้างชื่อเป็นดาราซัลโวบอลโลก 1986 ก็ย้ายไป บาร์เซโลน่า เท่ากับอยู่ เอฟเวอร์ตัน เพียงปีเดียวเท่านั้น ซึ่งตัวเขาก็ยืนยันว่า ต่อให้ไปเล่นที่ไหน ก็เล่นได้ไม่เท่ากับการได้เล่นกับ เอฟเวอร์ตัน ชุดนั้น
ย้ำกันอีกทีว่าชุดปี 1985 ที่สุดยอดกลายเป็น “ห้องแห่งตำนาน” มียอดนายประตูอย่าง เนวิลล์ เซาธ์ธอลล์ ขณะที่แนวรับมี แกรี่ สตีเวนส์ ที่เป็นคนละคนกับ แกรี่ สตีเวนส์ ของสเปอร์ส เป็นแบ๊กขวา, แพ็ท แวน เดน ฮาว เป็นแบ๊กซ้าย และคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟสุดหิน เควิน แรทคลิฟฟ์ กัปตันทีม ที่จับคู่กับ ดีเร็ค เมาท์ฟิลด์
ขณะที่แดนกลาง เทรเวอร์ สตีเว่น ไม่ได้เป็นอะไรกับ แกรี่ สตีเวนส์ ปักหลักเดินเกมทางขวา ใช้เทคนิคในการเล่นแบบ “ปีกยุคใหม่” ที่ดูเหมือนเป็นมิดฟิลด์ด้านขวา มากกว่าเป็นต้องไปกระชาก เพราะหน้าที่นี้ เควิน ชีดี้ ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเป็นปีกยุคโบราณรุ่นสุดท้าย
ที่ต้องลากชิดเส้นข้าง แล้วกระชากไปจนถึงเส้นหลัง ก่อนจะหักข้อ 90 องศาเข้ามาอย่างแม่นยำ
ห้องเครื่องคือ ปีเตอร์ รีด ที่เคยมาคุมทัพไทยแล้วหนีกลับบ้าน ประสานงานกับ พอล เบรซเวลล์ สลับกับ เควิน ริชาร์ดสัน ส่วนกองหน้าคือ แอนดี้ เกรย์ เจ้าเวหาขาลุย กับ แกรม ชาร์ป โดยมี เอเดรียน ฮีธ เป็นกำลังเสริม
นี่คือ เอฟเวอร์ตัน ที่ว่ากันว่าดีที่สุด และแน่นอนก็คือ มีความเสถียรในการเล่นมากที่สุดนั่นเอง
.........ตัดมาที่ทีมยุคปัจจุบัน เอฟเวอร์ตัน กำลังรอให้มัน “เสถียร” ทั้งตัวของผู้เล่น และผู้จัดการทีม
มาร์โก้ ซิลวา นายใหม่คนล่าสุดของเอฟเวอร์ตัน
มีการสลับสับเปลี่ยนนักบอลและกุนซือจนน่าปวดหัว นับตั้งแต่ เดวิด มอยส์ ออกไปจากทีม ซึ่งจะบอกว่า มอยส์ ทำทีมได้ดีก็ไม่แปลก
แต่จะบอกว่า ทำได้แค่นี้ก็ได้เหมือนกัน
กระทั่งทีมดูเหมือนจะไปข้างหน้าในยุคของการใช้กุนซือต่างชาติอย่าง โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ มาจนถึง โรนัลด์ คูมัน กระทั่งต้องมาใช้ แซม อัลลาไดซ์ แก้ขัดเมื่อปีก่อนจนกระทั่งมาเป็น มาร์โก้ ซิลวา
นักเตะก็เช่นเดียวกับตำแหน่งกุนซือ การทุ่มทุนซื้อเป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่การซื้อเรี่ยราด หาจุดยืนไม่ได้เกิดขึ้นในปีก่อน ที่กวาดมา 16 คน แล้วเล่นกันไม่ลงตัว
ส่วนปีนี้มากันอีก 5 คน เกือบ 100 ล้านปอนด์ ถือว่ายังมาเป็นจุดๆ ดูดีกว่าเมื่อปีก่อน
ทีนี้ขึ้นอยู่กับ ซิลวา จะปรุงนักเตะได้ขนาดไหน และจะมีเวลาขนาดไหน เพราะซื้อมาระดับเกือบ 100 ล้านปอนด์แบบนี้ คุณจะมาพลาดแพ้แบบเฟอะฟะอีกไม่ได้
จะเล่นแบบอยู่ๆ ก็ไม่มีทรงแบบเดิมอีกไม่ได้ด้วย
“เล่นให้มันเป็น เอฟเวอร์โตเนี่ยน หน่อยซิวะ!!!!” คำนี้ยังก้องอยู่ในหู เมื่อครั้งมีโอกาสไปชมเกมที่กูดิสัน พาร์ค เมื่อปีก่อน ซึ่งผมก็ว่ามันจริง
ใช่! เล่นให้มันเสถียรและสะใจให้สมกับเป็น “เอฟเวอร์ตัน” ที่รู้จักหน่อยซิ!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี