ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหน จะดีหรือจะแย่
เกมแห่งศักดิ์ศรี ระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และคุณค่าในตัวของมันเอง
เกมอาจจะไม่ได้สนุกอะไร แต่บรรยากาศ และในเรื่องของความเป็นคู่ปะทะ ความเป็นทีมใหญ่ร่วมบารมี มันยอมกันไม่ได้
เช่นเดียวกับเกมวันอาทิตย์นี้ ค่าตั๋วเข้าชมยังคงไหลไปไม่หยุด 600 ปอนด์ยังหาแทบไม่ได้ นั่นหมายความว่า คู่นี้ยังมีอะไรมากมายมากกว่าชัยชนะเหมือนเช่นเคย
นี่คือสิ่งที่อยู่ในรากฝังลึกของทั้งสองทีมมาช้านาน บางเรื่องตั้งแต่ยังไม่มีโลโก้ “ลิเวอร์เบิร์ด” หรือว่า “เร้ด เดวิลล์” ด้วยซ้ำไป
มันหยั่งรากเกินกว่าจะรักกันได้ เป็นไปอย่างเดียวคือ “เส้นขนาน” เท่านั้น!!!
l “รถไฟ”เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเมือง
เมืองลิเวอร์พูล กับ เมืองแมนเชสเตอร์ ที่อยู่ตรงทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รับการบันทึกแรกจากโลกใบนี้ว่า พวกเขาคือสองเมืองแรกที่มี “รถไฟ” เชื่อมต่อระหว่างเมือง
15 กันยายน 1830 คือ “วันเปิดราง” อย่างเป็นทางการ
ผู้คนสองเมืองนี้ชื่นมื่นกับคำว่า First inter-city railway in the world !!!.
ด้วยระยะทางรวมทั้งสิ้น 31 ไมล์ หรือ 50 กิโลเมตร เท่ากับระยะทางที่ห่างกันของสองเมืองนี้พอดิบพอดี รังสรรค์โดย ยอร์จ สตีเฟนสัน กับบริษัท แกรนด์ จังชั่น จำกัด มีทั้งหมด 32 สถานี
ในช่วงเวลาดังกล่าว กระทั่งจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 ลิเวอร์พูล ได้เจริญเติบโตเป็นท่าเรือที่สำคัญ ไม่เพียงแต่ในอังกฤษ แต่กลายเป็นเมืองท่าระดับโลก
เนื่องมาจากการค้าขายทางเรือมากกว่า 40% ของโลกใบนี้ต้องมาเทียบท่าที่เมอร์ซี่ย์ไซด์
ทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ก็เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งแรก และใหญ่โตที่สุดของโลก ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ อุตสาหกรรมทอฝ้าย ที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอังกฤษ และสหราชอาณาจักร
ยังผลให้สองเมืองนี้มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและความสำเร็จของโรงงานฝ้ายทั้งภูมิภาคทางตอนเหนือของอังกฤษ
ไม่แปลกที่จะถูกขนานนามให้เป็นเมืองสำคัญแห่งที่สอง หรือเมืองหลวงที่สองของจักรวรรดิอังกฤษ เพราะการเชื่อมโยงระหว่างสองเมืองนี้ แข็งแกร่งอย่างมาก
เสมือนว่า ทั้งคู่จะเดินไปด้วยกันได้อย่าง.......ราบรื่น และราบเรียบ
แต่ทะเลมีคลื่นมากเท่าไหร่ จิตใจมนุษย์มีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน!!!
l “ค่าต๋ง-ขุดคลอง”ชนวนแห่งความขัดแย้ง
เมื่อไหร่ที่จะต้องขนของมายังเมืองแมนเชสเตอร์ อาทิ ฝ้ายดิบ ก็ต้องมาพักที่ลิเวอร์พูล ก่อนจะมายังแมนเชสเตอร์ ทั้งทางรถไฟ และทางเรือ ทำให้มีการเสียภาษีต่างๆ มากมาย บวกกับแรงกระเพื่อมที่เพิ่มขึ้น ความต้องการชิงเป็นหมายเลข 1 ของย่านนี้
ในที่สุด เมืองแมนเชสเตอร์ ได้มีแคมเปญการรณรงค์ขอการสนับสนุนไปยังคนในเมือง ในเรื่อง “ขอขุดคลองแห่งใหม่” เพื่อเชื่อมต่อจากทะเลไอริช เข้าสู่แมนเชสเตอร์โดยตรง เพื่อทดแทน คลองบริดจ์วอเตอร์ ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1776 รวมไปถึงคลองที่เชื่อมผ่านแม่น้ำเมอร์ซี่ย์มายังแมนเชสเตอร์
แผนการนี้สำเร็จ ทำให้เกิดการขุดลอกคลองที่ชื่อ “คลองเดินเรือแมนเชสเตอร์” หรือ The Manchester Ship Canal ซึ่งเปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1894
เหตุการณ์นี้เกิดผลกระทบเต็ม ๆ กับ ลิเวอร์พูล ที่ต้อง “ล่มปากอ่าว” ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีตรงนี้ ทำให้ต้องเสียรายได้อย่างมหาศาล พร้อมกับคนต้องตกงานแทบจะกลายเป็นเมืองร้างในเวลาต่อมา
เรื่องนี้นี่แหละที่นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า เป็นการก่อกำเนิดการจงเกลียดจงชังกันอย่างรุนแรงของสองเมืองนี้
น่าแปลกที่เชิงลูกหนัง ทั้งสองทีมก็ต่อกรชิงดีชิงเด่นในเรื่องความสำเร็จกันมาโดยตลอด และกลายเป็นสองทีมที่มีแฟนฟุตบอลคลั่งไคล้ไปทั่วโลก
ทั้งการยึดแชมป์รายการต่างๆ มากมาย และมีช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ที่ยาวนานเหมือนกัน แถมยังคงเป็นเกมที่ทั่วโลกให้การรอคอยทุกครั้งที่ลงสนาม เป็นอาทิ
จากเดิมคือ First inter-city railway in the world กลายมาเป็นคู่ปะทะดาร์บี้แมทช์แห่งประเทศ มากกว่าฉายา North-West Derby
แน่นอนว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไร ทุกแมทช์ที่มีการพบกัน มีค่ามีความสำคัญยิ่งกว่าผลการแข่งขัน
มันคือเกียรติและศักดิ์ศรีที่ค้ำคอกันอยู่นานนับร้อยปี เพราะแพ้ใครแพ้ได้ แต่แพ้ให้กับคู่ปรับตลอดกาล…ไม่ได้!!!
l ดวลแข้งกันมาแล้วนานถึง 123 ปี
คู่นี้เจอกันครั้งแรก วันที่12 ตุลาคม 1895 ถือเป็นวันแรกของการกำเนิดลูกหนังคู่ปรับสำคัญของโลกใบนี้ ที่มั่นใจว่าในยุคนั้น คงไม่มีใครคิดว่า ทั้งสองทีมนี้จะมีแฟนบอลคลั่งไคล้ที่สุดในเวลาต่อมา
หนึ่งคือ ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ที่ยังไม่มีแม้กระทั่งตรา “นกลิเวอร์เบิร์ด” เป็นโลโก้สโมสร
อีกหนึ่งคือ นิวตัน ฮีธ ที่ยังไม่มีแม้กระทั่งสัญลักษณ์ “ปีศาจแดง” และชื่อทีมว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ปะทะแข้งกันหนแรกที่แอนฟิลด์ ปรากฏว่า ลิเวอร์พูล เอาชนะไปได้ 7-1 ในสมัยนั้นยังเป็นการดวลกันในระดับดิวิชั่น 2
l “คู่ล้มบอล” คู่แรกของปฐพี
วันที่ 2 เมษายน 1915 แมนยูฯ สถานการณ์ย่ำแย่กำลังหนีตกชั้น ขณะที่ ลิเวอร์พูล ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่ได้ลุ้นแชมป์และไม่หนีตกชั้น เพราะอยู่กลางตารางแบบชิลๆ
เกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นักเตะบางส่วนของทั้งสองทีม ได้ทำการตกลงที่จะ “ล็อกผล” ให้ แมนยูฯ เป็นฝ่ายชนะ เพื่อประโยชน์ที่ได้รับคือการ “อยู่รอด” รวมถึงเรื่องของ “การพนัน”
ผลจบลงด้วยชัยชนะของ แมนยูฯ2-0 จากการเหมายิงของ จอร์จ แอนเดอร์สัน ในนาทีที่ 40 กับ 75 แต่เกมจบทุกอย่างมันไม่ได้จบไปตามเกม
มร.เจจีเอ ชาร์ป ผู้ตัดสินเกมนั้น มีรายงานไปยัง สมาคมฟุตบอลอังกฤษ(เอฟเอ) หลังเกมว่า นักเตะลิเวอร์พูล ดูแปลกๆ ไม่ตั้งใจเล่น แถมยังยิงมีการยิงจุดโทษไม่เข้าอีกต่างหาก
จุดโทษดังกล่าวเกิดขึ้นในนาทีที่ 48 บ็อบ พูร์เซลล์ ของลิเวอร์พูล ทำฟาวล์แต่ แพท โอดอนเนลล์ ของแมนยูฯ ยิงออกไปไกล
ขณะเดียวกัน บริษัทรับพนันถูกต้องตามกฎหมายของอังกฤษ มีสิ่งผิดปกติก็คือ มีคนทำนายผลว่า “แมนยูฯชนะ 2-0” แบบผิดสังเกต จึงเรียกนักเตะจากเกมนี้มาสอบสวน
สุดท้ายเมื่อวันที่ 27 ธันวาคมปีเดียวกัน ได้มีการตัดสินคดีนี้ หลังพบว่า นักเตะของแมนฯยูไนเต็ด เป็นคนวางแผนการทั้งหมด ทำให้มีการแบนนักเตะทั้งหมด 7 คน ออกจากวงการลูกหนังตลอดชีพ
แซนดี้ เทิร์นบูลล์, อาร์เธอร์ วอลเลย์ และเอนอช เวสต์ ของแมนฯยูไนเต็ด ส่วนฟากฝั่งหงส์แดงคือ แจ๊คกี้ เชลดอน, ทอม มิลเลอร์, บ็อบ พูร์เซลล์ และโธมัส แฟร์ฟาวล์
นักบอลบางคนที่อยู่ในทีมก็ไม่ทราบเรื่องนี้ก็เยอะ โดยเฉพาะ บิลลี่ เมเรดิธ กองหน้าคนสำคัญของทีมก็บอกว่า มันแปลกตรงที่ว่าทำไม ไม่มีใครส่งบอลให้ผมเลย
ต่อมา แซนดี้ เทิร์นบูลล์ เสียชีวิตระหว่างไปรับใช้ชาติในสงครามโลก ครั้งที่ 1 ขณะที่อีก 5 คนในนั้นพ้นแบนเพราะไปร่วมรบในสงครามโลก คือติดทหารก็พ้นคดี
มีแค่ เอนอช เวสต์ ซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ไปรบ โดนลงโทษตลอดชีวิต ก่อนจะได้รับการยกโทษในอีก 30 ปีต่อมา ซึ่ง เวสต์ ก็มีอายุ 59 ปีเข้าให้แล้ว
นั่นคือเหตุการณ์สะท้านโลกเมื่อ 103 ปีที่แล้ว ที่เค้าเรียกกันว่า The 1915 Good Friday betting scandal
ประเด็นก็คือในซีซั่นนั้น 1914-15 แมนฯยูไนเต็ด ก็ไม่ได้รอดตกชั้นเพราะทำอันดับได้ที่ 18 แต่เนื่องจากติดสงครามโลก ทำให้ลีกหยุดแข่งไปจนกระทั่งกลับมาอีกครั้งในปี 1919-1920 มีการกลับมาเตะกันใหม่
แมนฯยูไนเต็ด รอดตายเพราะลีกมีการเพิ่มทีม
มีบันทึกอีกด้วยว่า ตัวตั้งตัวตีให้มีการ “เพิ่มทีม” ก็คือ แมนฯยูไนเต็ด อันดับ 18 จากลีกล่าสุด และเชลซี ที่ได้อันดับ 19 จากปี 1915 นั่นเอง
อาจเป็นเรื่องราวและสถิติที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก แต่เป็นอุทาหรณ์เอาไว้สอนใจ 100 ปีที่แล้วยังมีโทษหนักขนาดนี้ นาทีปัจจุบันจะขนาดไหน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ถึงแม้จะเป็นยอดทีม เป็นทีมยิ่งใหญ่
แต่กรณีนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเอาเยี่ยงเป็นอย่างยิ่ง!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี