การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำวันอาทิตย์นี้ มีเกมสำคัญอยู่ที่ “เธียเตอร์ ออฟ ดรีม” สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้อนรับการมาเยือนของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล คู่ปรับตลอดกาล
เกมนี้นับเป็นเกมที่ 202 ที่ทั้งสองทีมโคจรมาปะทะกัน โดยจะคิกออฟในเวลา 21.05 น. ซึ่งรายงานล่าสุดระบุว่า ตั๋วเข้าชมของเกมนี้ราคาทะลุไปถึงใบละ 700 ปอนด์ หรือกว่า 30,000 บาทในฝั่งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อย่างไรก็ตาม ตั๋วแพงที่สุดในเกมนี้กลับอยู่ที่ฝั่งของ “หงส์แดง” ที่ราคาพุ่งไปถึงใบละ 800 ปอนด์ หรือเฉียดๆ 40,000 บาทเลยทีเดียว
4 ผู้เล่นคีย์เพลเยอร์ประจำแมทช์ ดาบิด เด เคอา, เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค, ปอล ป๊อกบา และโมฮาเหม็ด ซาลาห์
● ความพร้อมของแมนยูฯ
เจ้าถิ่นถือว่ามีข่าวดี เมื่อ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้พาทีมชนะถึง 11 จาก 13 นัดแรก ในการคุมทัพด้วยสัญญาชั่วคราว เปิดเผยว่า อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล กับ เจสซี่ ลินการ์ด สองผู้เล่นแนวรุกที่ตอนแรกมีข่าวว่าเจ็บต้องพัก 2-3 สัปดาห์ ล่าสุดมีโอกาสลงเล่นได้แล้ว หลังจากกระบวนการฟื้นฟูอาการเจ็บหายเร็วเกินคาด แม้ว่ายังไม่สามารถลงซ้อมได้ก็ตาม คาดว่าน่าจะมีชื่อสำรองเป็นอย่างน้อย
หากว่าฟิตไม่ทัน ฆวน มาต้า กับ โรเมลู ลูกาคู น่าจะได้ออกสตาร์ทเกมรุกกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด โดยมี อเล็กซิส ซานเชซ เป็นอีกหนึ่งทางเลือก
ขุมกำลังที่เหลืออาจจะมีการสลับตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เมื่อ เอริค ไบญี่ อาจจะเบียด คริส สมอลลิ่ง กับ ฟิล โจนส์ ลงตัวจริงร่วมกับ วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่เป็นตัวหลัก ขณะที่แดนกลาง ปอล ป๊อกบา
ที่ฟอร์มสดสุดๆ ในยุค โซลชา จะเป็นแม่ทัพบัญชาเกม โดยมี อันเดร เอร์ราร่า กับ เนมานญ่า มาติช คอยตัดเกมคู่แข่ง
ส่วน เดบิด เด เคอา จอมหนึบชาวสเปน จะกลับมาลงเล่นอีกครั้ง หลังจากได้พักในเอฟเอ คัพ พร้อมกับลุ้นคลีนชีตครั้งที่ 100 ในการเล่นฟุตบอลลีกอีกด้วย
● ความพร้อมของลิเวอร์พูล
“หงส์แดง” ต้องการคะแนนเพื่อกลับไปยึดจ่าฝูงอีกครั้ง เพื่อหนีทั้ง แมนฯซิตี้ และ สเปอร์ส โดยได้ปราการหลังคนสำคัญอย่าง เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค กลับมาประจำการณ์ในแผงหลังอีกครั้ง หลังจากติดโทษแบนในเกมยุโรปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยจะจับคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟกับ โฌแอล มาติป ซึ่งเป็นกองหลังตัวกลางมืออาชีพที่เหลืออยู่ในทีมที่เป็นตัวเลือก เนื่องจาก เดยัน ลอฟเรน ยังเจ็บที่แฮมสตริง และโจ โกเมซ ยังพักฟื้นจากการผ่าตัดรอบ 2
ขณะที่แผนการเล่น เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือจะจัดระบบ 4-3-3 ลงเล่นแน่นอน โดยแผงกลางคาดว่า ฟาบินโญ่ จะได้กลับมาคุมจังหวะเกมอีกครั้ง โดยเล่นกับ จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม ส่วนอีกหนึ่งตำแหน่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม ต้องแย่งตำแหน่งกับ นาบี เกอิต้า ทำให้ เจมส์ มิลเนอร์ ต้องนั่งสำรองไปก่อน ส่วนแนวรุกยังเป็น ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์
ในรายของ เซอร์ดาน ชากิรี่ ที่ยิงสองประตูในการเจอกันนัดแรกของซีซั่น ยังต้องสตาร์ทในฐานะตัวสำรองต่อไป เนื่องจากเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ทำให้พลาดการลงเล่นนัดกลางสัปดาห์
● 11 ตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ผู้รักษาประตู : ดาบิด เดเคอา, กองหลัง : แอชลี่ย์ ยัง, เอริก ไบยี่, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, ลุค ชอว์, กองกลาง : เนมานย่า มาติช, ปอล ป็อกบา, อันเดร์ เอร์เรร่า, กองหน้า : ฆวน มาต้า, มาร์คัส แรชฟอร์ด และโรเมลู ลูกาคู
ลิเวอร์พูล ผู้รักษาประตู : อลีสซอน เบ็คเกอร์, กองหลัง : เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค, โฌแอล มาติป, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, กองกลาง : ฟาบินโญ่, นาบี เกอิต้า, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, กองหน้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรเบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะปะทะฝีมือกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในเกมวันแดงเดือด ครั้งที่ 202
● Head to Head
ทั้งสองทีมถือเป็นมหาอำนาจลูกหนังของประเทศอังกฤษมาช้านาน ครองถ้วยแชมป์รวมกันถึง 126 รายการ โดยเฉพาะแชมป์ลีกก็ได้รวมกันถึง 38 ครั้ง และยูโรเปี้ยนคัพ หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็รวมกันถึง 8 สมัย
การเจอกันหนแรกของทั้งสองทีมเกิดขึ้นเมื่อ 28 เมษายน ปี 1894 จนถึงวันนี้ในทุกรายการรวมทั้งสิ้น 201 นัด แมนยูฯไนเต็ด ชนะ 80 ลิเวอร์พูล ชนะ 66 เสมอกัน 55 โดย ยูไนเต็ด ยิงได้ 275 ลูก ลิเวอร์พูล ยิง 255 ลูก ถ้านับเฉพาะฟุตบอลลีก แมนยูฯ ชนะ 68 ลิเวอร์พูล ชนะ 56 และเสมอกัน 46 นัด
ส่วนการเจอกันนัดล่าสุดคือเกมที่แอนฟิลด์ “หงส์แดง” กำชัย 3-1 เมื่อ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา พร้อมกับทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ โดนไล่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมยูไนเต็ด อีกด้วย
● สถิติเหนือสถิติ
สถิติต่างๆ มีมากมายสำหรับคู่นี้ แต่มีสถิติที่น่าสนใจชนิดที่เป็นไฮไลท์ของการพบกัน มีดังนี้
1.พบกันครั้งนี้เป็นครั้งที่ 202
2.ไรอัน กิ๊กส์ เป็นนักเตะที่ลงเล่นเกมแดงเดือดมากที่สุด 48 นัด
3.สตีเว่น เจอร์ราร์ด, จอร์จ วอลล์ และแซนดี้ เทิร์นบูลล์ ยิงได้มากสุดในแดงเดือด คนละ 9 ลูก
4.ชัยชนะมากที่สุดของคู่นี้เกิดขึ้นเมื่อ 12 ตุลาคม 1895 ลิเวอร์พูล ชนะ 7-1
● ความสำคัญของเกม
เกมนี้ถือว่าสำคัญแบบสุดๆ และถือว่าเดิมพันสูงมาก เริ่มจากฝั่งของ แมนยูฯ หากกำชัยนัดนี้ได้จะทำให้พวกเขารักษาตำแหน่งท็อปโฟร์เอาไว้ได้ต่อเนื่อง พร้อมกับทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือรักษาการน่าจะได้สัญญาถาวร แต่ถ้าผลออกมาตรงข้ามอาจจะพังทั้งหมดก็ได้
ขณะที่ ลิเวอร์พูล ต้องการเก็บคะแนนให้ได้ เพื่อกลับไปนำเป็นจ่าฝูง หลังจบแมทช์ที่ 27 โดยก่อนเกมนี้มีแต้มเท่ากับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ 65 คะแนน แต่ผลต่างประตูได้เสียตอนนี้ ลิเวอร์พูล บวก 44 ส่วน ซิตี้ 54 อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล เล่นน้อยกว่า 1 เกม
● ผู้ตัดสินเกมนี้‘ไมเคิล โอลิเวอร์(พูล)’จริงหรือ
ทันทีที่มีการประกาศรายชื่อว่า ไมเคิล โอลิเวอร์ จะเป็นผู้ตัดสินเกมนี้ เสียงวิจารณ์ออกมากันแซ่ดว่า ลิเวอร์พูล กำลังจะได้เปรียบ แมนฯยูไนเต็ด
เปาวัย 33 ปี จากนอร์ธทัมเบอร์แลนด์ จะทำงานร่วมกับ สจ๊วร์ต เบิร์ต กับ ไซมอน โฟร์ธ โดยมี อังเดร มาริเนอร์ รับหน้าที่เป็นผู้ตัดสินที่ 4
ตามสถิติที่บันทึก โอลิเวอร์ เคยแจกใบแดงให้กับนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด มาแล้วถึง 4 คน ประกอบด้วย อังเคล ดิ มาเรีย, อันโตนิโอ วาเลนเซีย, คริส สมอลลิ่ง และ อันเดร์ เอร์เรร่า
แต่เคยแจกใบแดงให้นักเตะลิเวอร์พูล คนเดียวเท่านั้นคือ ฟาบิโอ บอรินี่ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2014 ในเกมกับ อาร์เซนอล
เขาลงตัดสิน แมนยูฯ มาแล้ว 29 เกม ชนะ 11 เสมอ 7 แพ้ 11 เกม แจกใบเหลือง 59 ใบ และใบเหลือง-แดง 4 ใบ และให้จุดโทษ 6 ครั้ง
ในทางกลับกัน เขาตัดสิน ลิเวอร์พูล ลงตัดสิน 36 เกม ชนะ 17 เสมอ 12 และแพ้ 7 เกม ให้ใบเหลือง 59 ใบ และใบเหลืองแดง 1 ใบ และเป่าให้จุดโทษ 8 ลูก
ประเด็นคือ 9 เกมหลังนี่ให้จุดโทษลิเวอร์พูล ถึง 7 ครั้งด้วยกัน
ซีซั่นนี้ โอลิเวอร์ ตัดสิน “หงส์แดง” 4 นัดชนะทุกเกม เริ่มจากบุกชนะ คริสตัล พาเลซ 2-0, บุกชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-1, ไปชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ 1-0 และเปิดบ้านถล่ม อาร์เซน่อล 5-1
ส่วนการตัดสิน แมนยูฯ 2 นัด เกมแรกแพ้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-3 เมื่อเดือนกันยายน ก่อนจะเป่าเกมที่บุกยำ คาร์ดิฟฟ์ 5-1 ซึ่งเป็นเกมที่ โซลชา คุมทัพผีเป็นนัดแรก
แต่ถ้านับเฉพาะแดงเดือด โอลิเวอร์ ตัดสินไป 2 ครั้ง ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ทั้งหมด ปรากฏว่าผียังไม่เคยแพ้
เกมแรกปี 2015 แมนยูฯ ชนะ 3-1 และอีกครั้งคือปี 2017 เสมอกัน 1-1
ไมเคิล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสินในเกมนี้ ที่ถูกจับตามองตั้งแต่เกมยัง
● ดูที่ไหน-คึกคักกว่าไทยอาจไม่มี
ประเทศไทย มีกิจกรรมต่างๆ มากมายเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับมีถ่ายทอดสดผ่านทางแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้ง ฟรีทีวี และเปย์ทีวี
พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 “World Class Sport” ถ่ายทอดสดให้แฟนได้ชมฟรีถึงบ้าน โดยเริ่มเข้าการวิเคราะห์วิจารณ์ตั้งแต่เวลา 20.45 น. พร้อมกับจัดกิจกรรมชมสดผ่านจอยักษ์ ณ ลานหน้า เดอะ สตรีท รัชดา เริ่มกิจกรรมตั้งแต่เวลา 18.00 น. พร้อมกับลุ้นเป็นเจ้าของรางวัลใหญ่ อย่าง โทรศัพท์มือถือ iPhone X จักรยานเสือหมอบ Optima และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
ขณะที่ “ทรูวิชั่นส์” เปย์ทีวีทำการถ่ายทอดสดในแบบคมชัดด้วยระบบ 4Kที่นี่ที่เดียว ทางช่อง ทรู 4K (ทรูวิชั่นส์ ช่อง 400)และระบบเอชดีทางช่อง บีอินสปอร์ตส์ 1 (ทรูวิชั่นส์ช่อง 676)
● วิเคราะห์เจาะลึกก่อนเกม
นี่คือเกมที่จะทำให้โปรแกรมการลุ้นแชมป์เตะเท่ากันพอดีที่ 27 เกม
ว่ากันตามเชิง ลิเวอร์พูล ควรที่จะต้อง “ชนะ” แม้ว่าความเป็นจริง “ผลเสมอ” ก็ถือว่าโอเค นั่นก็เพราะว่าการขึ้นนำ แมนฯซิตี้ 1 คะแนน มันอาจจะไม่พออีกต่อไป
หลังจากนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องเล่นทีหลัง แมนฯซิตี้ ตลอดทั้ง 3 นัดต่อจากนี้
ฝั่งเจ้าบ้านทุกอย่างเหมือนเดิมทั้งหมด ยกเว้นผู้จัดการทีมจาก มูรินโญ่ มาเป็น โซลชา และกลับมาเล่นในสไตล์ที่เป็น “แมนยูฯไนเต็ดขนานแท้” ซึ่งจริงๆ ก็คงไม่มีใครคิดว่า โซลชา จะปลุกผีให้ลุกจากหลุมแล้วหลอกหลอนคนอื่นได้ถึงขนาดนี้
เอาเข้าจริง แท็กติกของ โซลชา ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่เขาเลือกใช้สไตล์ของทีมที่หลับใหลกลับมา เพราะศักยภาพนักเตะของแมนยูฯ โดยรวมก็ถือว่าดีอยู่แล้ว ซึ่งการเล่นจะแตกต่างจากการพบกันเกมแรกที่แอนฟิลด์อย่างสิ้นเชิง
ป๊อกบา จะเป็นคนสำคัญด้วยการจ่ายบอลได้เสียเพียงเสี้ยววินาที บวกกับการเติมขึ้นมาของแบ๊กทั้งสองฝั่งที่ไม่ได้เห็นในยุคของ มูรินโญ่ นั่นคือทำให้แกนรุกของผีแดงมีมติและมีแถวสองมากยิ่งขึ้น
ปัญหาคือ มาร์กซิยาล กับ ลินการ์ด ที่ช่วยทำให้เกมรุกสมดุลด้วยความเร็วและคล่อง การเข้าใจกับ แรชฟอร์ด แต่ทั้งสองคนนี้อาจฟิตไม่พอ ทำให้ตำแหน่งการยืนของ แรชฟอร์ด ต้องเปลี่ยนไปหรือไม่ จากที่เป็นหน้าเป้า ต้องขยับมาเล่นด้านข้าง เพราะ ลูกาคู ต้องปักตรงกลาง
หากว่า ลินการ์ด กับ มาร์กซิยาล ฟิตทัน จะทำให้ 4-3-3 ในการเล่นเกมรับ แล้วปรับเป็น 4-4-2 ไดม่อนด์ เวลาเกมบุกจะสมบูรณ์แบบทันที
ขณะที่ ลิเวอร์พูล ไม่มีปีไหนที่พวกเขาเล่นได้ดีขนาดนี้เลยในยุคพรีเมียร์ลีก อย่างไรก็ตาม ความกดดัน กับ ความคาดหวัง ตามเกาะติดคิดตังค์มานาน และเหมือนกับจะมีคำว่า ท้อเหมือนกัน ให้เห็น
อุตส่าห์เล่นได้ดีขนาดนี้ ยังหนีไม่ออก
คล็อปป์ เคยบอกว่า ลิเวอร์พูล ยังไม่ได้ท็อปฟอร์ม แต่มาถึงวันนี้พวกเขาแพ้แค่หนเดียวเท่านั้น เพียงแต่คำถามที่ว่า “เมื่อไหร่จะท็อปฟอร์ม”
เขาจะเริ่มทำตั้งแต่แมทช์นี้เลยได้หรือไม่
ประเด็นคือ “กองกลาง” เมื่อ เฮนโด้ เล่นได้ดีในนัดกับ บาเยิร์น แต่ถึงเวลาที่ ฟาบินโญ่ ต้องกลับมายืนกลาง ถึงเวลาที่ คล็อปป์ จะตัดสินใจอีกครั้ง
คนที่จองตำแหน่งตัวจริงคือ ไวจ์นัลดุม ที่ยืนเคียงกับมิดฟิลด์ตัวกลางได้ลงตัวมากๆ ส่วนอีกสองที่ว่างน่าสนใจว่า หวยจะออกที่ไหน มาลัยจะถูกคล้องที่คอของใครกันแน่
เอาเข้าจริง เฮนโด้ กับ ฟาบินโญ่ เล่นด้วยกันได้ แต่มันจะทำให้คนที่เชื่อมต่อระหว่างกลางไปหน้าแบบ นาบี เกอิต้า จะไม่มี ถ้าคิดจะไปบล็อกตรงกลางก็น่าสนใจที่จะเป็น “เฮนโด้-ฟาบินโญ่-ไวจ์นัลดุม” แต่ถ้าต้องเล่นด้วยความถนัดและปราดเปรียว ก็ต้องใช้ชุดอัพเกรดอย่าง “ฟาบินโญ่-ไวจ์นัลดุม-เกอิต้า”
เลือกใครลงตอนนี้ไม่เท่ากับแดนหน้าที่เริ่มประสานงานกันน้อยลงเรื่อยๆ ภาพมันค่อยๆ ชัดขึ้น เพราะทั้ง 3 คนก็ไม่ได้ลงมาช่วยไล่เหมือนเมื่อก่อน อาจจะเป็นเพราะแผนการเล่นของ คล็อปป์ ก็ได้
แต่ไม่ควรจะใช้กับเกมนี้
แมนยูฯ ของ โซลชา มีปัญหากับการถูกไล่เพรสปิดพื้นที่ หาก คล็อปป์ กลับไปใช้แผน“ต่อต้านเด็กบู ฟื้นฟูเฮฟวี่” คือวิ่งบดขยี้เข้าใส่ น่าจะดีกว่าการคุมพื้นที่แบบที่เล่นอยู่ในช่วง 3 เดือนหลัง
ลืมภาพที่ไล่ต้อนสบาย 3-1 จากเกมแรกไปได้เลย เพราะจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว แมนยูฯไม่ได้เล่นเป็นผีตายซากแบบนั้นอีกต่อไป
ที่สำคัญบอลแบบนี้ความผิดพลาดส่วนบุคคลมีผลประจำ ต้องระวังให้ดี!
ฟันธง : เสมอกัน 1-1
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี