โปรแกรมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในวันอาทิตย์นี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่คู่ชิงแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปีนี้ลงสนามพร้อมกัน
นั่นคือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จ่าฝูง ในฐานะผู้ท้าชิง กับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รองจ่าฝูง ในฐานะแชมป์เก่า
เว้ากันซื่อซื่อ หากไม่มีทีมนึง....อีกทีมจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกไปเป็นที่เรียบร้อย
ดูจากคะแนน ดูจากแมทช์ ดูจากฟอร์มการเล่น และดูจากเทพีแห่งโชค เหมือนกับว่าทั้ง หงส์แดง และ “เรือใบ มีไม่ได้ต่างกัน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 หรือซีซั่น 2013-14 ปีล่าสุดที่ ลิเวอร์พูล มีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเต็มตัว โปรแกรมสัปดาห์นี้เหมือนกันโดยบังเอิญ
เกมซูเปอร์ซันเดย์ ลิเวอร์พูล พบกับ เชลซี และคริสตัล พาเลซ เปิดบ้านเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
หนนั้นคือเกมนัดที่ 36 ของทั้งสองทีม ลิเวอร์พูล เตะก่อนแล้วพลาดท่าแพ้ 0-2 ให้หลัง 3 ชั่วโมง แมนฯซิตี้ บุกไปกำชัยที่เซลเฮิร์ส พาร์ค 2-0 ก่อนที่บทจบ แมนฯซิตี้ ครองแชมป์ด้วยการมีแต้มเหนือกว่าแค่ 2 คะแนนเท่านั้น
มาในครั้งนี้โปรแกรมอาจจะเหมือนกัน แต่สลับกันเตะ เมื่อ ซิตี้ จะต้องเตะก่อน แต่เป็นการตามหลัง เพื่อให้จำนวนแมทช์มาอยู่ที่ 33 เท่ากันกับ ลิเวอร์พูล
ส่วน ลิเวอร์พูล เล่นเกมที่ 34 เพียงแต่อยู่ในโปรแกรมวันเดียวกัน
ว่ากันถึง แมนฯซิตี้ เคยพลาดท่าคาบ้านให้กับ พาเลซ 2-3 แบบยิ่งกว่าผีหลอก ถามว่าพวกเขาจะย่ำแย่ถึงกับแพ้ “อินทรีผงาด” แบบไป-กลับ เลยล่ะหรือ
ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ตอบได้เต็มปากเลยว่า “คงจะไม่”
เกมดังกล่าวถูกลงมติว่า เกิดอุบัติเหตุขึ้นในเกมนัดดังกล่าว ลูกยิงแบบผีจับยัดของ แอนรอส ทาวน์เซนด์ ให้ยิงอีกก็คงยาก รวมไปถึงความผิดพลาดส่วนบุคคลของ ไคล์ วอล์คเกอร์ ทำให้ แมนฯซิตี้ พังคาบ้าน
มาถึงวันนี้ พาเลซ เพิ่งฟื้นไข้หลังจากบุกชนะ นิวคาสเซิ่ล พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีอะไรมากมายนัก และก็อยู่รอดปลอดภัย ดังนั้นจึงลงเล่นแบบไม่มีความกดดันอะไร ซึ่งมองได้สองแบบก็คือ ปล่อยเลยตามเลย หรือว่าเตะเพื่อศักดิ์ศรีเพื่อแฟนบอล
บอลอังกฤษส่วนใหญ่เป็นแบบหลังอยู่แล้ว
แต่ด้วยศักยภาพต่างๆ พาเลซ สู้ แมนฯซิตี้ ไม่ได้แน่นอน ด้วยความปรารถนา ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ แมนฯซิตี้ จำเป็นต้องชนะทุกนัดที่เหลือในซีซั่นนี้ บางขณะเหมือนกับมีแรงกดดันให้กับพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะประเด็น 4 แชมป์
สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าแรงกดดันก็คือ พลังของนักเตะ ที่เตะแบบ 3 วันครั้งมาต่อเนื่องเป็นเดือนๆ ทำให้บางทีเร่งไม่ขึ้น
หมดจากนัดนี้ 3 นัดของ แมนฯซิตี้ ก็คือ ต้องหวดกับ สเปอร์ส 2 เกมติดในแชมเปี้ยนส์ลีก นัดล้างตา และในพรีเมียร์ลีก สุดสัปดาห์ ต่อด้วยบุกไปเยือน แมนฯยูไนเต็ด
หากว่า ซิตี้ จะหมดก็น่าจะเกิดขึ้นในเกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
เพราะการบดกับ สเปอร์ส 3 นัด ในรอบ 11 วัน มันใช้กำลังเยอะมากๆ
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้ว เขาสั่งลูกทีมเร่งยิงประตูให้ได้เร็วที่สุด จะสังเกตว่า ซิตี้ ได้ประตูเร็วมากจากนั้นก็ผ่อนเกม เล่นแบบระวังตัว เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องเจออะไรในช่วงปลายเดือนนี้
สุดท้าย แมนฯซิตี้ ยังไม่น่าหลุดอะไรในเกมนี้ ยกเว้นดวงแตกแบบสุดๆ เท่านั้น เพราะเป้าประสงค์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แล้ว ลิเวอร์พูล ล่ะ จะกดดันแค่ไหน เพราะคู่แข่งคือ เชลซี
เหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อน มันจะหลอกหลอนขุนพล “หงส์แดง” หรือไม่ แต่จากวันนั้นมา หากนับกันจริง ๆ แล้ว เหลือแค่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่อยู่ในทีมชุดใหญ่ ที่เหลือเป็นตัวสำรองไปหมดแล้วก็คือ ซิมง มินโญเลต์ และ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์
ในวันนั้นถือเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์เมื่อ ลิเวอร์พูล ที่ไม่ได้แชมป์มานานถึง 24 ปี มีโอกาสลุ้นแชมป์แบบเต็มที่ บัตรเข้าชมราคาพุ่งกระฉูดไปถึง 1,800 ปอนด์ ซึ่งเวลานั้นทะลุไปใบละเกือบ 1 แสนบาท ทั้งที่ต้นขั้วแค่ 55 ปอนด์เท่านั้น
ลิเวอร์พูล แพ้ เชลซี 0-2 จากความผิดพลาดส่วนบุคคลทั้งสองลูก โดยเฉพาะที่ติดตาก็คือ ความผิดพลาดของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด จนถูกล้อเลียนแบบไม่มีการให้เกียรติกันจากแฟนบอลทีมอื่นบางคน แต่ที่มาของความผิดพลาดก็คือ เกิดจากความร้อนรนและเร่งรีบในแผนของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่ “ไม่นิ่งพอ” กับการลุ้นแชมป์ แม้เจ้าตัวยืนยันว่า อยากจะเช็คบิลให้มันจบ
หลังจบเกม ลิเวอร์พูล เตะ 36 มี 80 แต้ม ประตูได้เสีย บวก 50 โดยที่ เชลซี ขยับมาอยู่ที่ 2 เตะ 36 มี 78 แต้ม และแมนฯซิตี้ เตะน้อยกว่า 1 นัด มี 77 แต้ม แต่ประตูได้เสียบวก 58 ดีกว่าหงส์ถึง 8 ลูก
เป็นเหตุให้ ร็อดเจอร์ส สั่งให้ลูกทีมบุกเป็นบ้าเป็นหลังในเกมกับ พาเลซ แม้ว่าจะออกนำไปแล้ว 3-0 ก่อนจะโดนตีเสมอ แล้วพลาดแชมป์ที่รอคอย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเกมวันนั้นกับวันนี้ มันแตกต่างกันอย่างมาก
1.เกมยังไม่ได้เขม็งเกลียวแบบ 5 ปีก่อน เพราะยังมีเกมในมือกันอีกมากกว่าเดิมทีมละ 1 เท่า
2.แมนฯซิตี้ เป็นฝ่ายเตะก่อน
3.ลิเวอร์พูล ไม่ได้เป็นแบบ 5 ปีก่อน และที่สำคัญเลยก็คือ ข้อ 4
4.เชลซี ไม่ได้เป็นเหมือน 5 ปีก่อน
หนึ่งสองคงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม แต่ประเด็นที่ 3 ก็คือ เมื่อปี 2014 ลิเวอร์พูล ของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ไม่ได้มาลุ้นแชมป์แบบเป็นทางการ พวกเขาค่อยๆ ขยับขึ้นมาในโปรแกรมแรกของเดือนกุมภาพันธ์ ที่ถล่ม อาร์เซนอล 5-1 จากนั้นก็วิ่งแรงด้วยการชนะรวด 11 นัด แล้วก็มาหยุดในเกมกับ เชลซี
ผิดกับปีนี้อย่างที่เขียนเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดซีซั่นว่า ลิเวอร์พูล เสริมทัพด้วยสถิติโลกตั้งแต่ต้นปีปฏิทิน จาก เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค ก่อนจะคว้าตัว อลิสซอน เบ๊คเกอร์ เป็นสถิติโลกก่อนที่ เกปาร์ อาร์ริซาบาลาก้า ย้ายมาเชลซี บวกกับของเดิมที่มีอยู่นั่นคือ ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็น “ทีมที่ต้องลุ้นแชมป์”
แบบแผนชัดเจนของ เจอร์เก้น คล็อปป์ บวกกับประสิทธิภาพของนักฟุตบอล ทำให้เดินมาถึงวันนี้ได้ แต่ดีกว่ายุค “แซมบ้าซีซั่น 1988” หรือเปล่าไม่รู้ แต่ทำสถิติได้เหนือกว่าไปแล้ว
พูดง่ายๆ ว่าเกือบ 4 ปีของ คล็อปป์ คือการเตรียมมาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ
สำคัญที่สุดก็คือ การเรียนรู้จากอดีต เคยผิดพลาดมาแล้วจากความร้อนรน จากความเร่งรีบ เคยผิดพลาดกับทีมๆ นี้ คือสิ่งที่ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอย
ที่ลืมไม่ได้ก็คือ ข้อ 4 เชลซี ไม่ได้ “เล่นนอกเกม” เหมือนกับเมื่อ 5 ปีก่อนเลย
“เล่นนอกเกม” ในที่นี้ นั่นก็คือ สงครามจิตวิทยาของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เล่นงาน ลิเวอร์พูล จนเป๋ตั้งแต่ก่อนเกม, ระหว่างเกม, ท้ายเกม และจบเกม
การให้สัมภาษณ์เพื่อกดดัน ร็อดเจอร์ส และนักเตะหงส์แดง ว่าจะใช้นักเตะสำรองลงเล่น ก่อนจะเลือกทำจริงๆ ซึ่งการเก็บตัวมีเหตุผลน้อยกว่าการยั่วโกรธา ต่อด้วยการออกมาป่วนนักเตะหงส์ช่วงที่บอลออกข้าง, วิ่งดีใจกับแฟนบอลตัวเองทั้งที่เกมนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร
สุดท้ายก็คือ ความชัดเจนที่ มูรินโญ่ มีแผลกับ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ในยุคแรกที่เขามาทำงาน ทำให้ ลิเวอร์พูล กับ เชลซี คือคู่ปะทะของบอลอังกฤษยุคมิลเลนเนียมในกาลต่อมานั่นเอง
มูรินโญ่ มีแผลที่แอนฟิลด์ เพราะ 3 ซีซั่นที่เขาคุม เชลซียุคแรก ต้องมาตกรอบตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ลีก ถึงสองครั้งที่สนามแห่งนี้ โดยเฉพาะแค้นฝังลึกที่เขาเรียกว่า “ประตูผี” ของ หลุยส์ การ์เซีย เมื่อปี 2005
ดังนั้นกระแสความกดดันจากฝั่ง เชลซี หนนี้ไม่ได้เหมือนกับเมื่อปี 2014
จริงอยู่ที่เกมนี้ไม่ได้ตัดสินแชมป์ เพราะยังเหลือเวลาให้ได้สู้
แต่คุณอาจจะรู้แชมป์ตั้งแต่วันอาทิตย์เลยก็ได้ เพราะชัยชนะมีมากกว่า 3 คะแนน!!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี