เป็นความพิเศษอย่างมากในเกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ที่เป็นสองทีมจากอังกฤษ โคจรมาปะทะกัน
มูลค่าฟุตบอลในยุคปัจจุบันที่แตกต่างจนน่าตกใจ เพราะทีมอันดับสุดท้ายจากพรีเมียร์ลีก กลับทำเงินได้มากกว่าแชมป์ของลีกดังซะอีก
เหมือนเป็นการตอกย้ำมูลค่าแบรนด์ของ “พรีเมียร์ลีก” ให้แรงขึ้นไป
“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ดูเหมือน “หลับไหล” ในยุคพรีเมียร์ลีก พวกเขาเดินมาถึงวันสุดท้ายของนัดชิงเจ้ายุโรป
การเป็นแชมป์ลีกพวกเขาทั้งสองไม่เคยได้ แต่จากนี้ไปสองทีมนี้จะประสบความสำเร็จรอบด้าน
โดยเฉพาะเรื่องรอบสนาม หลังจากเดินทางมาในแนวเดียวกันแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับกีฬาก็คือ การสร้างสนาม เปรียบเสมือนกับการสร้างบ้านตัวเองให้ดี คือสิ่งที่ทั้งสองทีมโกลาหลกันมาโดยตลอด แรกทีเดียวทำท่าจะสร้างใหม่, จะเซ้งต่อ หรือจะอะไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว เหมือนวิญญาณปู่บอกไว้
อย่าไปไหนจากพื้นที่นี้ พวกเอ็งมีสิทธิ์อยู่ แต่พวกเอ็งไม่มีสิทธิ์ขาย!!!
ลิเวอร์พูล ทำท่าจะหนีออกจากแอนฟิลด์ เพื่อไปตั้งรกรากใหม่เพื่อให้ทุกอย่างดูใหญ่ขึ้น แต่การเข้ามาของสองปลิงมะกันอย่าง ทอม ฮิคส์ และจอร์จ ยิลเล็ตต์ เมื่อปี 2007 ทำให้ทุกอย่างชะลอตัวและทีมเกือบต้องล้มละลายในอีก 3 ปีต่อมา
สองเจ้าของมะกัน กลายเป็น “ปลิง” แบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อทำหนี้ท่วมสโมสร และถ้าไม่มีใครมาซื้อทีมได้
จะต้องโดนปรับตกชั้นถึง 3 ขั้น เพราะหนี้ทะลุไปกว่า 237 ล้านปอนด์
กลายเป็น “นิวอิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส” หรือ NESV หรือ “เฟนเวย์ สปอร์ตส์” ในปัจจุบันนี่แหละ ที่เข้ามาซื้อสโมสรในราคา 300 ล้านปอนด์ ภายใต้การนำของ จอห์น เฮนรี่ เจ้าของทีมเบสบอล บอสตัน เรดซอกซ์ ในสหรัฐอเมริกา
6 ตุลาคม 2010 ลิเวอร์พูล มีเจ้าของใหม่ จากนั้นทุกอย่างก็เริ่มเดินหน้าอีกครั้ง กระทั่งเป็น “นิว เมน สแตนด์” สำเร็จเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
เป็นสัญญาเมื่อ 8 กรกฎาคม 2011 เฮนรี่ บอกว่า แอนฟิลด์คือตัวเลือกลำดับแรก แต่การ “ขยายสนาม” มีปัญหามากกว่า “ย้ายสนาม”
กระทั่งประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจขึ้นมาอย่างน่าสนใจ
ขณะเดียวกัน สเปอร์ส เองก็ดิ้นรนเต็มที่ในการย้ายถิ่นฐาน เมื่อเข้าไปบิดแย่งกับ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เพื่อขอเช่าเซ้งสนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม ต่อจากการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเกมส์ ของลอนดอน ในปี 2012
สุดท้าย เวสต์แฮม ได้สิทธิ์นั้นไปในสัญญาเช่า 99 ปี
สเปอร์ส กลับมาทบทวนตัวเองใหม่ ก่อนจะตัดสินใจทำสนามใหม่ครอบลงไปในสนามเก่า
หลังจากรอคอยและผลักดันกันมาหลายปี สเปอร์เพิ่งได้สนามแห่งใหม่สามารถขยับขยายอัตราความจุผู้เข้าชม และเครื่องอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ทีมไก่เดือยทองแห่งลอนดอนลงทุนกับสนามใหม่ด้วยทุน 1 พันล้านปอนด์ ได้สนามที่มีความจุ 62,000 ที่นั่งมากกว่าสนามไวท์ ฮาร์ท เลน สนามเหย้าเดิม 2 เท่า เป็นอีกสนามที่มีความจุอันดับต้นๆ ในพรีเมียร์ลีก
จุดนี้ สเปอร์ส ได้วางแผนรองรับเอาไว้แล้ว เราจะสังเกตได้ว่า พวกเขาซื้อนักเตะเข้าทีมต่อเนื่อง กระทั่งหยุดการซื้อขายในเดือนมกราคม 2018 ลูคัส มูร่า เป็นนักบอลคนสุดท้ายที่เข้ามาอยู่ในทีม
ที่สำคัญก็คือ การได้เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกหลายฤดูกาลในช่วงที่สนามยังสร้างไม่เสร็จ แผนตลาดของ สเปอร์ส เดินไปอย่างแยบยล ในการไปเช่าสนามนิว เวมบลีย์ ที่มีความจุมากกว่าไวท์ ฮาร์ท เลนหลายเท่าเป็นการชั่วคราว รายได้จากค่าตั๋วเกมพรีเมียร์ลีกเพิ่มจาก 19 ล้านปอนด์ เป็น 42.6 ล้านปอนด์
หักลบกลบหนี้ อย่างน้อยก็กำไร
จุดตรงนี้ การทำงานของบอร์ดบริหารของทั้งสองทีม และตัวผู้จัดการทีมทั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ของลิเวอร์พูล กับ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ของสเปอร์ส น่ายกย่องมากๆ เพราะไม่ได้มีเงินถุงเงินถังให้ถล่ม
ประหนึ่งว่า เจอเฟอร์นิเจอร์สวย ๆ อยากจะเอามาแต่งบ้าน แต่คุณต้องขายอะไรไปเพื่อเอาสิ่งนี้มาวางแทน หรือไม่ก็กลับไปหาแบบที่ใกล้เคียงแล้วมาจัดแต่งใหม่ให้มันเป็นรูปเป็นร่าง
คล็อปป์ ต้องขายนักเตะคนสำคัญออกไปจากทีม หากต้องการเซ็นสัญญาตัวใหม่เข้ามา ส่วน พอช ต้องอดทนใช้ผู้เล่นชุดเดิมโดยไม่ได้ซื้อใครเลยในซีซั่นนี้ ถือเป็นทีมแรกในยุคพรีเมียร์ลีกเกือบ 20 ปี ที่มีการเปิดตลาดสองรอบ
ประเด็นคือ สเปอร์ส ล่าช้าในการเปิดสนามใหม่ยาวนานเกือบครึ่งปี กว่าจะได้เล่นในบ้านต้องรอถึงเดือนเมษายน 2019 ทั้งที่กำหนดเดิมคือ กันยายน 2018 ซึ่งตอนนั้นก็จะเป็นการรับมือหงส์แดงในพรีเมียร์ลีก
เรื่องเงินทองจึงยังหาข้อสรุปได้ยาก แต่เมื่อมองจาก “โมเดลเดียวกัน” ที่ลิเวอร์พูล ทำไว้หลังจากปรับปรุงสนาม
ใหม่
สองทีมนี้กำลังจะเดินไปในทางเดียวกัน
ยกตัวอย่างของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้
ด้วยผลงานที่ต่อเนื่องลิเวอร์พูลที่ดีอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มูลค่าของสโมสรเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ปี 2017 มูลค่าของสโมสร 47,700 ล้านบาท ต่อด้วยปี 2018 ขึ้นไปถึง 62,200 ล้านบาท
ด้วยความบ้าคลั่งของแฟนบอล ทำให้สินค้าที่จำหน่ายนั้น หมดเกลี้ยงจะด้วย “อุปทานหมู่” เลยเถิดไปเรื่องของ “อุปสงค์” หรือเปล่าไม่รู้ แต่พวกเขามีเงินเข้ามาในสโมสรเป็นกำไรหนแรกเมื่อ 2 ซีซั่นที่แล้ว
ฤดูกาล 2017/18 ลิเวอร์พูลมีกำไรจากการซื้อขายผู้เล่นมากกว่า 700 ล้านบาท นั่นหมายว่า ขายมากกว่าซื้อ
ดังนั้น ผลประกอบการของสโมสรเติบโตอย่างเห็นได้ชัด รายได้และกำไรเดินหน้า หลังจากปี 2016 ขาดทุน 930 ล้าน เพราะสร้างเมน สแตนด์ แต่ตอนปี 2017 มีเงินเข้า 16,016 ล้านบาท หักลบแล้วได้กำไร 1,716 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ขึ้นมาที่ 18,655 ล้านบาท เคาะแล้วกำไร 4,350 ล้านบาท
สำคัญที่สุดก็คือ ระดับหนี้ของลิเวอร์พูลลดลงเนื่องจากมีการชำระคืนต่อเนื่อง จากตัวเลข 181.6 ล้านปอนด์ เหลือ 151.1 ล้านปอนด์ ลดลงถึง 15% ลิเวอร์พูลชำระเงินกู้กับธนาคาร 17 ล้านปอนด์ รวมถึงชำระให้ เฟนเวย์ อีก 12.9 ล้านปอนด์
ตอนนี้หนี้สุทธิตามการเปิดเผยของสโมสรนั้น กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้าย และจะอยู่สภาพที่ “ปลดหนี้” เป็นที่เรียบร้อย ทำให้ โปรเจกท์ใหม่ๆ จะสามารถเดินต่อไปได้ และไม่มีขยะใต้พรหมเหมือนกับการบริหารสโมสรอื่นๆ ที่มีหนี้สะสมสวนทาง
การดำเนินธุรกิจครั้งนี้ของ ลิเวอร์พูล ถือว่าทำให้ทีมฝ่าวิกฤติหนี้เน่า และมีแฟนบอลที่ช่วยซื้อสินค้าลิขสิทธิ์สินค้าสโมสร ทำให้การประมูลครั้งต่อไปนั่นคือผู้ผลิตสินค้า กำลังจะเป็นสถิติโลก
เช่นกันกับ สเปอร์ส ที่โมเดลธุรกิจจับมือกับชาวมะกันในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง โดยเน้นไปที่สนามนี้จะเป็นจุดศูนย์รวมของสาวกอเมริกัน ฟุตบอล เพราะนอกจากสนามจะปรับเปลี่ยนมาแข่งขัน NFL ได้ในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม ยังคงเป็นทีมเดียวที่มีของที่ระลึกทีม NFL จำหน่ายอีกด้วย
สิ่งที่พวกเขาต้องทำให้ได้ก็คือ เมื่องบประมาณบานปลายในการสร้างสนาม สภาวะการบริหารหนี้สินจะต้องทำให้ดี และผลงานของทีมจะต้องก้าวขึ้นมาเพื่อช่วยยกระดับ พร้อมเสาะแสวงหาแฟนบอลหน้าใหม่ๆ จากทั่วโลก
จุดนี้แบรนด์ของ สเปอร์ส เป็นรองหลายทีมในลีก
ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือ “ความสำเร็จ” ที่เป็น “รูปธรรม” ให้คนทั่วโลก “สัมผัส” ได้
ซึ่งก็เป็นสิ่งเดียวที่ ลิเวอร์พูล ปรารถนาในยุค เจอร์เก้น คล็อปป์ เช่นกัน
สุดท้ายท้ายสุดจุดชี้วัดก็คือ “โทรฟี่แชมป์”!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี