การเดินทางของฟุตบอล ความบังเอิญแบบพอดี คือสิ่งที่น่าจับตามองอยู่เสมอ
ศึกฟุตบอลน็อกเอาท์เขย่าโลก หรือ เอฟเอ คัพ ในปีนี้น่าสนุกตั้งแต่รอบ 3 ซึ่งเป็นรอบแรกที่ทีมจากพรีเมียร์ลีก และเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ลงเซิ้งแข้ง
เป็นการโคจรมาเจอกันของคู่ปรับร่วมเมือง คู่ปรับแห่งลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ย์.......สีแดง ลิเวอร์พูล และสีน้ำเงิน ของเอฟเวอร์ตัน
.......การแยกตัวกันออกมาระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตันทำให้เมืองนี้มีทีมฟุตบอลหลักเป็น 2 ทีม
สนามเหย้าของทั้งคู่ แอนฟิลด์ ของลิเวอร์พูล กับ กูดิสัน พาร์ค ของเอฟเวอร์ตัน ห่างกันแค่ 0.97 กิโลเมตร บ้างก็ว่าห่างกัน 0.99 กิโลเมตร แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขไหน
สองทีมนี้เป็นทีมฟุตบอลที่อยู่ใกล้กันมากที่สุดของอังกฤษ
อาจเป็นที่มาของคำว่า “จิ๊กโก๋กิโลเดียว” ก็ได้!!!
คู่นี้ต่อกรกันอย่างดุเดือดมาตลอด ด้วยการเปรียบเสมือนเป็นการสู้ของคนในครอบครัวแท้ๆ เพราะเป็นการแตกหน่อออกมา แยกตัวออกมา ไม่ใช่ว่าต่างคนต่างตั้ง ทำให้ เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมทช์ มีความแตกต่างกับดาร์บี้แมทช์อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
แฟนบอลสามารถนั่งด้วยกันได้โดยไม่เคอะเขิน
การพบกันในศึกนี้เมื่อปี 1991 ทำให้ เคนนี่ ดัลกลิช ลาออกหลังจบเกม ทำให้ ลิเวอร์พูล เข้าสู่ยุคมืด
พ่ออาจจะเชียร์เอฟเวอร์ตัน คุณลูกอาจจะเชียร์ลิเวอร์พูลผลการแข่งขันคืออำกันให้เละ ไม่ได้มาประหัตประหารกัน ใช้กำลังกันเหมือนกับการปะทะกับผู้อื่น
การต่อกรระหว่างสองทีมนี้ เริ่มเข้มข้นและเข้าด้ายเข้าเข็มอย่างมาก โดยเฉพาะในยุค’80 ทั้งสองทีมนี้ผลัดกันครองความยิ่งใหญ่ในฟุตบอลลีก
เป็นยุคที่เรื่องของการเดินเรือตกต่ำ บวกกับรัฐบาลไม่สนใจไยดีไม่คิดจะดูแลเมืองนี้แต่เลือกไปกระตุ้นเศรษฐกิจที่เบอร์มิงแฮม และแมนเชสเตอร์ ทำให้ฟุตบอลเป็นที่หล่อเลี้ยงและเยียวยาจิตใจของคนในเมือง
ว่ากันถึงในยุคดังกล่าวที่คนไทยเรียกว่า “อีเวอร์ตัน” ถือว่าพวกเขาน่าเกรงขามที่สุดอีกทีมในตำนานฟุตบอล
สองทีมแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ ได้เข้าชิงฟุตบอลด้วยกันทั้งหมด 3 ครั้ง 2 รายการ ในช่วง “ยุคทอง” ของทั้งสองทีม เริ่มจากบอลลีกคัพ ปี 1984 ต่อด้วย เอฟเอ คัพ ปี 1986 และ 1989
ความสำเร็จในยุค 80 ยืนยันชัดเจนกับโทรฟี่แชมป์ของทั้งคู่
ลิเวอร์พูล ครองแชมป์ดิวิชั่น 1 ซีซั่น 1979-80, 1981-82, 1982-83, 1983-84, 1985-86, 1987-88, 1989-90, เอฟเอ คัพ ปี 1986 กับ 1989, ลีกคัพ ปี 1981, 1982, 19883 และ 1984, ยูโรเปี้ยน คัพ 1981 กับ 1984
เอฟเวอร์ตัน ได้แชมป์ดิวิชั่น 1 ซีซั่น 1984-85 กับ 1986-87, แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1984 พร้อมกับเข้าชิงรวม 4 ครั้ง และแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1985
เจอร์เก้น คล็อปป์ จะได้ดวลกับ คาร์โล อันเชล็อตติ อีกครั้ง หลังจาก เจอกันในถ้วยยุโรปต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน หนนี้เจอกันในฐานะคู่ปรับร่วมเมือง
คนที่นั่นไม่ว่าสีแดงหรือน้ำเงินใบหน้ามีแต่เปื้อนรอยยิ้ม
หากเรานับเฉพาะเอฟเอ คัพ ที่โคจรมาเจอกันอีกครั้งในซีซั่นนี้
ปรากฏว่า ลิเวอร์พูล ชนะได้ทั้งหมด ด้วยสกอร์ 3-1 ในปี 1986 และ 3-2 ในปี 1989 ที่ต้องบี้กันถึงช่วงของการต่อเวลา
แต่เมื่อหมดยุคของ เคนนี่ ดัลกลิช กับ ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์อย่างเป็นทางการ เท่ากับหลังจากปี 1991 เป็นต้นมา เมืองนี้ดูเหมือนว่า ความสำเร็จค่อยๆ เลือนหายไป โดยเฉพาะฝั่งสีน้ำเงิน
เอฟเวอร์ตัน เป็นแชมป์รายการสุดท้าย เมื่อปี 1995 ผิดกับ ลิเวอร์พูล ที่ยังคงผลิตแชมป์ได้เรื่อยๆ แม้ว่าแชมป์หนสุดท้ายคือปี 2012 แต่ยังวนเวียนอยู่กับการได้ลุ้นแชมป์ กระทั่งได้ความเป็น “เจ้ายุโรป”กลับคืนมา และกลายเป็น “แชมป์ยุโรป 6 สมัย” ไปเรียบร้อย
บนเส้นทางของโลกลูกหนัง ลิเวอร์พูล ยังคงเบ่งบานเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และการฉลอง 125 ปีของสโมสร ก็สร้างรายได้ต่างๆ มากมายจนกลายเป็นสถิติโลก ผิดกับทางฝั่ง เอฟเวอร์ตัน ที่ฉลอง 125 ปีกูดิสัน พาร์ค เช่นกัน แต่เต็มไปด้วยความเงียบสงบ
ของที่ระลึกของเอฟเวอร์ตัน แทบจะไม่มีให้เห็น หรือทีมการตลาดไม่ให้ความสำคัญก็ไม่ทราบได้ ทั้งที่ปีนี้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปมากมายจนแทบจะจำไม่ได้เลย
ทีนี้คำว่า เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมทช์ จะดุเดือดเลือดพล่านหรือไม่ อันนี้ก็น่าสนใจเหมือนกัน
เมื่อก่อนเราพูดได้เลยว่า ไม่ว่าเมื่อไหร่ อย่างไรสถานการณ์จะขนาดไหน คอฟุตบอลยังให้ความสนใจเหมือนเดิม เมื่อสองพี่น้องมาเจอกัน เสมือนเป็นเรื่องของคนในครอบครัวที่ดังกระฉ่อนโลกจริงๆ
ดาร์บี้แมทช์เดียวที่แฟนฟุตบอลทั้งสองทีมสามารถนั่งปะปนกันได้ ไม่มีการไล่ดักแทง ไล่กระทืบ เพราะแทบจะเป็นพี่น้องกันทั้งสนาม
เพราะเขาเหล่านี้มาจากเทือก มาจากรากเหง้าเดียวกัน
การพบกันครั้งล่าสุด ในศึกพรีเมียร์ลีก ที่แอนฟิลด์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูล ถลุงไป 5-2 ทำให้ เอฟเวอร์ตันสั่งปลด มาร์โก้ ซิลวา ออกจากตำแหน่งเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
แม้ในปัจจุบันความเข้มข้นน้อยลงไป เมื่อการลงทุนจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ เอฟเวอร์ตัน ที่เปลี่ยนแปลงนักเตะมากมาย จนทำให้ “รากเหง้า” มันเริ่มหายไป
กระทั่งการมาของ ฟาร์ฮัด โมชิรี่ ที่เริ่มคืบคลานเข้ามากระชับพื้นที่ของเมืองนี้ที่ฉาบสีแดงไปเกินครึ่ง ให้กระตุกต่อมว่าที่นี่ก็มีสีน้ำเงินด้วยเช่นกัน
เศรษฐีชาวอิหร่าน ซื้อตึกรอยัล ริเวอร์ และฉาบสี “นกไลเวอร์เบิร์ด” บนยอดตึก จากสีพาติน่า กลายเป็นสีน้ำเงิน รวมถึงเปิดตึกนี้ให้เป็นจุดท่องเที่ยวใหม่ประจำเมือง จนเป็นที่ฮือฮาเมื่อกลางปีที่แล้ว
การดึงตัว คาร์โล อันเชล็อตติ มือปืนอิตาเลี่ยนเข้ามาทำงาน ถือเป็นเรื่องสุดเซอร์ไพรส์ และน่าจะเห็นอะไรบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นในอนาคต เมื่อการลงทุนก่อสร้างสนามใหม่ชัดเจนขึ้น
ฟุตบอลเมืองนี้จึงเดินหน้าไปพร้อมกันอย่างน่าสนใจ พลิกโฉมเมืองนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
เพียงแต่ “แผนที่ฟุตบอล” ตอนนี้ ลิเวอร์พูล รุกคืบไปไกลกว่า เอฟเวอร์ตัน อย่างมาก โดยเฉพาะการระเบิดพลัง 3 แชมป์ในปีนี้ด้วยการใช้เวลาครึ่งปีพัฒนาจาก “แชมป์ยุโรป” กลายเป็น “แชมป์โลก”พร้อมกับไล่ล่าสุดยอดปรารถนานั่นคือ “แชมป์ลีก” ครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ
ดังนั้นเกมนี้จึงน่าสนใจมากๆ ว่า ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ อาจจะจัดทัพ “ชุดสอง” ลงสู้ เพื่อก้าวสู่เป้าหมายสำคัญที่เริ่มมีโอกาสชัดเจนขึ้น หลังจากนำห่างถึง 13 คะแนน และมีเกมในมืออีก 1 นัด
ผิดกับ เอฟเวอร์ตัน ที่จะต้อง “ใส่เต็มตีน” เพื่อให้อยู่บนเส้นทางลุ้นแชมป์ ไม่ใช่ทุกอย่างจะจบไปตั้งแต่เดือนมกราคม
ถ้วยสุดท้ายที่ “ทอฟฟี่เมน” ได้มาครองคือถ้วยใบนี้เมื่อ24 ปีก่อน และที่สำคัญก็คือ พวกเขามีส่วนที่ถีบ ลิเวอร์พูล สู่ยุคมืดด้วยการเล่นถ้วยใบนี้ในรอบที่ 5 เมื่อ 29 ปีที่แล้ว
5 ทุ่มคืนนี้เจอกัน รับรองว่าไม่ว่าจะใส่ชุดไหน
รับรองว่าไฟแลบแอนฟิลด์
● สถิติน่าสนใจของเอฟเวอร์ตัน-ลิเวอร์พูล
การพบกันเกมลีกผ่านไปแล้ว 201 นัด ถือว่ามากที่สุดเป็นลำดับ 2 เป็นรองแค่ เอฟเวอร์ตัน กับ แอสตัน วิลล่า
- ดิวิชั่น 1 : 146 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 54 เสมอ 44 เอฟเวอร์ตัน ชนะ 48 (ลิเวอร์พูล ยิง 203 เอฟเวอร์ตัน ยิง 181)
- พรีเมียร์ลีก : 55 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 24 เสมอ 22 เอฟเวอร์ตัน ชนะ 9 (ลิเวอร์พูล ยิง 77 เอฟเวอร์ตัน ยิง 48)
- เอฟเอ คัพ : 24 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 11 เสมอ 6 เอฟเวอร์ตัน ชนะ 7 (ลิเวอร์พูล ยิง 39 เอฟเวอร์ตัน ยิง 28)
- ลีกคัพ : 4 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 2 เสมอ 1เอฟเวอร์ตัน ชนะ 1 (ลิเวอร์พูล ยิง 2 เอฟเวอร์ตัน ยิง 1)
- คอมมิวนิตี้ ชิลด์ : 3 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 1 เสมอ 1เอฟเวอร์ตัน ชนะ 1 (ลิเวอร์พูล ยิง 2 เอฟเวอร์ตัน ยิง 2)
- ลีกซูเปอร์คัพ : 2 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 2 (ลิเวอร์พูล ยิง 7 เอฟเวอร์ตัน ยิง 2)
สรุปพบกันมาแล้วในเกมอย่างเป็นทางการ 233 เกม ลิเวอร์พูล ชนะ 93 เสมอ 74 เอฟเวอร์ตัน ชนะ 66 ลิเวอร์พูล ยิงได้ 325 ลูก เอฟเวอร์ตัน ยิงได้ 260 ลูก
l นักเตะที่ทำประตูได้มากที่สุด
เอียน รัช (ลิเวอร์พูล) 25 ประตู
ดิ๊กซี่ ดีน (เอฟเวอร์ตัน) 19 ประตู
อเล็กซ์ “แซนดี้” ยัง (เอฟเวอร์ตัน) 12 ประตู
สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล) 10 ประตู
แฮร์รี่ แชมเบอร์ส (ลิเวอร์พูล) 8 ประตู
จิมมี่ เซ็ตเติ้ล (เอฟเวอร์ตัน) 8 ประตู
แจ๊ค พาร์กินสัน (ลิเวอร์พูล) 8 ประตู
l นักเตะที่ลงสนามมากที่สุด
เนวิลล์ เซาธ์ทอลล์ (เอฟเวอร์ตัน) 41 นัด (ปี 1981-98)
เอียน รัช (ลิเวอร์พูล) 36 นัด (ปี 1980-87 และ 1988-96)
บรู๊ซ กร็อบเบลลาร์ (ลิเวอร์พูล) 34 นัด (ปี 1980-94)
อลัน แฮนเซ่น (ลิเวอร์พูล) 33 นัด (ปี 1977-90)
สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล) 33 นัด (ปี 1999-2015)
เควิน แรทคลิฟฟ์ (เอฟเวอร์ตัน) 32 นัด (ปี 1980-92)
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี