การแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบ 5 คืนวันอังคารนี้ มีเกมบิ๊กแมทช์อยู่ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เปิดบ้านรับการมาเยือนของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล

เกมนี้คาดว่า แฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์ กุนซือเชลซี จะเลือกนักเตะชุดใหญ่ลงเล่นเต็มอัตราศึก เนื่องจากต้องการรักษาสภาพการลุ้นแชมป์ในปีนี้ ซึ่งเอฟเอ คัพ ถือเป็นถ้วยสุดท้ายที่พวกเขามีโอกาสที่ชัดเจนที่สุด หลังจากแชมเปี้ยนส์ลีก มีโอกาสตกรอบสูงมาก เนื่องจากนัดแรกแพ้คาบ้านต่อ บาเยิร์นฯ ไปถึง 0-3 แต่อาจจะให้ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า กลับมาเฝ้าเสาที่เหลือถือว่าเต็มสูบ จอร์จินโญ่ ประสานกลางกับ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ส่วนแนวรุก วิลเลี่ยน เล่นร่วมกับ เปโดร และมิตซี่ บาตซูอายี่

ทางฝั่ง “หงส์แดง” ที่เพิ่งลิ้มรสความพ่ายแพ้ในฟุตบอลลีกหนแรกในรอบ 422 วัน จะจัดทัพผสมลงสนามในรายการนี้เหมือนเดิม อาเดรียน
จะได้ยืนด่านสุดท้าย ขณะที่แนวรับ โฌแอล มาติ๊ป จะได้โอกาสลงสนาม พร้อมกับ เนโก้ วิลเลี่ยมส์ ขณะที่แผงกลาง เคอร์ติส โจนส์ จะได้เล่นกับอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ส่วนเกมรุกเป็นไปได้ที่จะเก็บ 3 ประสานเอาไว้แค่สำรอง แล้วให้โอกาส ทาคูมิ มินามิโนะ เล่นกับ ฮาววี่ย์ เอลเลียตต์ และดิว็อก โอริกี้

สำหรับสถิติการเจอกันในรายการนี้ 11 นัดปรากฏว่า ไม่เคยมีการเสมอกันมาก่อน ซึ่ง เชลซี เหนือกว่าด้วยการชนะ 6 ลิเวอร์พูล ชนะไป 4

ขณะเดียวกัน ศึกลา ลีกา สเปน นัดเอล กลาซิโก้ ที่สนามซานดิอาโก เบอร์นาบิว “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด เอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ไปได้ 2-0 ซึ่งเกมนี้ วินิซิอุส จูเนียร์ กองหน้า เรอัล มาดริด สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดภายในช่วงศตวรรษที่ 21 ที่ทำประตูได้ ด้วยวัย 19 ปี กับอีก 233 วัน

ชัยชนะนัดนี้ ทำให้ เรอัล มาดริด แซง บาร์เซโลน่า ขึ้นไปเป็นจ่าฝูง ด้วยผลงาน 56 คะแนน จากการลงเล่น 26 นัด นำหน้า บาร์ซ่า อยู่ที่
1 คะแนน