โอเปก-พันธมิตรประชุมจันทร์นี้

เวียนนา - องค์การประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก หรือ โอเปก ที่มีซาอุดีอาระเบียเป็นแกนนำ และประเทศพันธมิตร จะเปิดประชุมกันในวันจันทร์ด้วยระบบประชุมวีดิทัศน์ทางไกล หรือ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อหาทางสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดน้ำมัน และทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นหลังจากราคาร่วงลงไป 2 ใน 3 นับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา จากผลกระทบของการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ไปทั่วโลกและสงครามราคาระหว่างซาอุดีอาระเบียกับผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกรายสำคัญคือรัสเซีย ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ มีกำหนดที่จะพบหารือกับผู้บริหารบริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่ทำเนียบขาวในวันเสาร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาราคาน้ำมันตกต่ำ ที่เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 รัฐบาลสหรัฐอาจจะเสนอหนทางในการช่วยเหลือบริษัทน้ำมันในการฟันฝ่าวิกฤตการณ์และอาจจะหาทางผลักดันให้ซาอุดีอาระเบียกับรัสเซียยุติการแข่งขันเรื่องราคาน้ำมัน เพื่อให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

จีนลดเพดานเงินทุนสำรองธนาคาร

ปักกิ่ง – สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า ได้ลดเพดานเงินสดที่ธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กจะต้องเก็บเป็นเงินสำรองของธนาคาร พร้อมทั้งปล่อยเงิน 400,000 ล้านหยวน หรือ ประมาณ 56,380 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการพยุงเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติการระบาดของโควิด-19 โดยจะดำเนินการเป็นสองระยะ ครั้งแรกในวันที่ 15 เมษายน และครั้งที่สองในวันที่ 15 พฤษภาคม โดยอัตราเงินสำรองจะลดลงเหลือร้อยละ 6 จีนมีธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กรวมแล้วราว 4,000 แห่ง นอกจากนั้นแล้ว อัตราดอกเบี้ยของเงินสดสำรองส่วนเกินของสถาบันการเงินกับธนาคารกลางก็จะลดลงเหลือร้อยละ 0.35 จากร้อยละ 0.72 โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 เมษายนนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดนี้ประกาศออกมาในขณะที่เศรษฐกิจของจีนดูเหมือนว่าจะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี และความหวังที่จะให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวโดยเร็วก็ไม่สดใสนักเนื่องจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก

กูเกิ้ลช่วยประเมินผลปิดเมือง

โอคแลนด์ - กูเกิ้ลเผยแพร่รายงานข้อมูลตำแหน่งของประชาชนใน 131 ประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ประชาชนไปร้านค้า สวนสาธารณะ และที่ทำงานน้อยลงหรือไม่ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่หลายประเทศออกคำสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน การวิเคราะห์ข้อมูลตำแหน่งจากโทรศัพท์ของผู้ใช้นับพันล้านคนถือเป็นชุดข้อมูลสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีในการช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประเมินว่าประชาชนได้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ให้อยู่แต่ในบ้านหรือไม่ ด้านเฟซบุ๊ค ซึ่งมีผู้ใช้เป็นจำนวนนับพันล้านคนเช่นกัน ก็ได้แบ่งปันข้อมูลตำแหน่งแบบเดียวกันให้กับนักวิจัยนอกภาครัฐ ซึ่งทำรายงานที่คล้ายกันให้กับทางการในหลายประเทศด้วย แต่ไม่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณะเหมือนอย่างกูเกิ้ล