บาเยิร์น มิวนิค เดินหน้าป้องกันแชมป์บุนเดสลีกา ต่อไป
การกลับมาเตะบุนเดสลีกา ถือเป็นลีกใหญ่1 ใน 5 ที่กล้าท้าโรคไวรัสนรกอย่าง“โควิด-19”
โฟกัสอยู่ที่การไล่ล่าตำแหน่งแชมป์ ที่พลิกไปพลิกมาสุดท้ายตอนนี้ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค แชมป์เก่า และแชมป์ 7 สมัย
กลับมานำอีกแล้ว!!!
ในซีซั่นที่มีการไล่ล่าจ่าฝูงอย่างเข้มข้นมี 4 ทีมที่วนเวียนกันขยับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงไล่ตั้งแต่ “เสือเหลือง” โบรุสเซียดอร์ทมุนด์ ที่ออกนำใน 2 เกมแรกแต่ไม่สามารถปีนกลับไปได้อีก ต่อด้วย “กระทิงเปลี่ยว” อาร์เบ ไลป์ซิก ที่นำต่อมา 3 วีคติด ก่อนเสียตำแหน่งให้กับ “สิงห์หนุ่ม” โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัคกระทั่งกลับมานำในช่วงรอยต่อระหว่างครึ่งฤดูกาล
แต่หลังจากนัดที่ 20 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน บาเยิร์น ขึ้นมายึดอยู่ได้แล้ว 5 แมทช์เดย์ติดต่อกัน
บาเยิร์น เคยขึ้นนำหนเดียวในซีซั่นนี้คือสัปดาห์ที่ 6 หลังจากบุกไปเชือดพาเดอร์บอร์น 3-2 แต่การพลาดท่าพ่ายคารังให้กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ในนัดต่อมานอกจากตกจ่าฝูงแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลง
กระทั่งการไปแพ้ “อินทรีแดง-ดำ” ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต ย่อยยับ 1-5 ทำให้ทีมปลดของ นิโก้ โควัช ออกจากตำแหน่ง
เรื่องนี้มันก็น่าแปลกดี เพราะเอาเข้าจริงแล้วปีก่อนย่ำแย่กว่านี้อีก
การแพ้ด้วยสกอร์เละที่สุดรอบทศวรรษ เป็นสิ่งที่ “รับไม่ได้” หรือ ถ้ามองกันอย่างเป็นธรรมแล้ว การที่ เจอโรม บัวเต็ง โดนไล่ออกตั้งแต่ 9 นาทีแรก คือปัจจัยสำคัญให้เกมนี้มันขาดลอยเหลือเชื่อ
แต่เมื่อฟอร์มโดยรวมดูแปลกๆ และผลงานโดยรวมของ นิโก้ โควัช ที่ผ่านมาในการทำงาน 65 เกม ชนะได้ 45 นัด พร้อมกับเป็นดับเบิ้ลแชมป์เมื่อปีก่อน
ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของสองเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง อูลี่ เฮอเนส และคาร์ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้
ว่ากันว่า การปลด โควัช ออก คือผลงานสุดท้ายของ เฮอเนส ก่อนวางมือ
สถานการณ์ตอนนั้น บาเยิร์น มีปัญหาบานตะไทในแผงหลัง เพราะ นิคลาส ซือเล่ กองหลังตัวหลักเจ็บยาวจากเอ็นเข่าฉีกขาด และลูกาส์ แอร์กน็องเดซ ที่ตั้งแต่ย้ายมาด้วยราคากว่า 80 ล้านยูโร ดันออดๆแอดๆ ทำให้กองหลังแทบจะไม่เคยเสถียร เพราะ โควัช อยากให้ โยชัว คิมมิช ขึ้นมาเล่นกลางกับ ติอาโก้ อัลคันตาร่า
วาดฝันกันว่า แนวรับจากขวาไปซ้ายจะเป็น เบนฌาแม็ง ปาวาร์, นิคลาส ซือเล่, ลูกาส์ แอร์กน็องเดซ และดาวิดอลาบ้า เอาเข้าจริง มัตส์ ฮุมเมิลส์ ที่ถูกปล่อยตัวออกไป กลายเป็นรอยรั่วซะดื้อๆ ทั้งที่ทีมลงทุนมหาศาลในการซื้อ ทั้ง เบนฌาแม็ง ปาวาร์ กับ ลูกาส์ แอร์กน็องเดซ
จาดอน ซานโซ่ กับ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาลันด์ คู่แนวรุกของดอร์ทมุนด์
การสลับไปมาของกองหลังเกิดขึ้นตลอด และทำให้สับสน ในกับ แฟร้งค์เฟิร์ต ปรากฏ โควัช มามาดใหม่ เล่นปราการหลัง 3 คน ให้ ปาวาร์ เป็นเซ็นเตอร์ขวา, ดาวิด
อลาบ้า เป็นเซ็นเตอร์ซ้าย และให้ เยอโรม บัวเต็ง ยืนเป็นตัวกลาง เพื่อขยับ คิมมิช ขึ้นไปยืนกลาง
เกมนั้นผมบรรยายอยู่พอดีกับคุณอุดมศักดิ์ สุภัทโรภาสพงศ์ ทางช่องพีพีทีวี เอชดี 36 เมื่อเห็นการยืนตำแหน่งแล้วก็ประหลาดใจ เพราะกราฟิกจากเยอรมนีก็ไม่ได้ระบุมา ทำให้ยังพูดออกอากาศไปกันว่า ต้องระวังตรงที่ บัวเต็ง หากโดนสวนกลับมาอาจพินาศได้ ไม่ใช่เพราะเห็น บัวเต็งเป็นบ่อ หรือว่าช้าเป็นอาจิณ
แต่ตัววิงแบ๊กสองข้างคือ อัลฟองโซ่ เดวิส กับ แซร์จ กนาร์บรี้ เป็นปีกธรรมชาติ แม้เกมที่แล้ว เดวิส อาจเล่นแบ๊กซ้าย แต่ชัดเจนคือเกมรับมีปัญหาแน่นอน
ขณะที่ตัวรุกเลือกทั้ง เฟลิปเป้คูตินโญ่ กับ โธมัส มุลเลอร์ ลงพร้อมกันอีกครั้ง ซึ่งมันแสดงให้เห็นแล้วก่อนหน้านี้ว่า “ไม่เวิร์ก” แต่นั่นแหละ นับตั้งแต่ มุลเลอร์ มีข่าวจะย้ายทีม เขาก็ได้ลงตัวจริงมาตลอดทั้งที่ก่อนหน้านั้น เป็นตัวสำรองไปแล้ว
สุดท้ายรอยแผลของพี่เสือเต็มไปหมด น่าเห็นใจ โควัช เพราะสิ่งที่ อาร์เยน ร็อบเบนกับ ฟรองค์ ริเบรี่ ทิ้งเอาไว้ มันใหญ่เกินไปสำหรับ คิงส์ลี่ย์ โกมาน, กนาร์บรี้ และเดวิส ที่ยังก้าวมาไม่ถึง เนื่องจากเล่นบอลแบบมาๆ หายๆ
ไม่แปลกที่ คูตินโญ่ กับ อีวาน เปริซิซจะถูกดึงมาที่นี่
คูตินโญ่ มาเพื่อให้เกมตรงกลางมีมิติมากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นได้ 3 นัด จากนั้น เขาเล่นบอลแบบเห็นแก่ตัว จังหวะมันยึกๆ ยักๆ จวนตัวจริงๆถึงจะจ่าย ขณะที่ เปริซิซ
สตาร์ทได้ดี แต่พิษสงสวนทางกับวัยที่เพิ่มขึ้น
สุดท้าย หากจะหาเหตุการปลดนั่นที่มันชัดเจนที่สุดก็คือ การจัดทัพและการเปลี่ยนตัวที่ขัดลูกกะตาของ โควัช
ยกตัวอย่างที่เขาเปลี่ยนตัวแปลกมาก หลังจากเอาสายสปีดลงไปเล่น จากนั้นถอดออกมาเอาบอลดีเลย์ลงไปเล่น และการเปลี่ยน ฆาบี มาร์ติเนซ เพื่อลงไปให้เหมือนกับว่า “ยอมแพ้น้อย” อันนี้น่าจะผิดวิสัยของทีมใหญ่อย่าง บาเยิร์นฯ
คำพูดหนึ่งของ รุมเมนิกเก้ นั่นก็คือ ฟอร์มการเล่นเมื่อนัดล่าสุด และสกอร์ที่เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่เกินรับได้
“ผมกับ อูลี่ เฮอเนส ประธานสโมสรและฮาซาน ซาลิฮามิดซิซ ผู้อำนวยการด้านกีฬา ได้พูดคุยกันอย่างซีเรียสมากๆกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันแย่มาหลายต่อหลายเกม เรามีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทุกคนเสียใจไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่หลังจากคุยกับ นิโก้ อย่างจริงจังเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา การตัดสินใจจึงเกิดขึ้น”
ส่วน โควัช ยืนยันว่า สโมสรได้ตัดสินใจถูกต้องแล้วที่ปลดเขาออกจากตำแหน่ง
เก้าอี้ร้อนถูกส่งต่อมายัง ฮันซี่ ฟลิค ผู้ช่วยของ โควัช ซึ่งในตอนแรกจะได้คุมสองเกมเท่านั้นคือ พบ โอลิมเปียกอส ในศึกแชมเปี้ยนส์ลีก และเจอ ดอร์ทมุนด์ ในศึกแดร์ คลาซิเกอร์
ติโม แวร์เนอร์ ดาวยิงเนื้อหอมของไลป์ซิก
ตัวเต็งตอนนั้นคือ ราล์ฟ รังนิคในอัตรา 7-4 ตามด้วย โชเซ่ มูรินโญ่ที่มีข่าวว่ากำลังเรียนภาษาเยอรมันมานานกว่า 9 เดือน อยู่ที่ 11-4 และฟลิก อยู่ที่ 10-3
แต่ ฟลิก คุมทีมเอาชนะได้ทั้งสองเกมที่บอร์ดต้องการ จนได้รับความไว้เนื้อเชื้อใจให้ทำงานต่อจนกระทั่งหมดซีซั่นนี้ ก่อนจะตอบแทนด้วยการนำทีมขึ้นนำจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงที่หยุด โควิด-19 ปรากฏว่าฟลิก ได้รับสัญญาระยะยาวเป็นที่เรียบร้อย 3 ปี
ฟลิกกลับมาเล่นอยู่ 2 สูตร ก็คือ 4-2-3-1 กับ 4-3-3 ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ พร้อมกับรีดประสิทธิภาพของ ติอาโก้อัลคันตาร่า ที่ถูกเขาดร็อปในช่วงแรก จนสปีดตัวเองกลับมายึดตัวจริง และอีกคนที่ฟอร์มกลับมาเด่นมากคือ โธมัส มุลเลอร์
“เสือใต้” จะต้องสู้ต่อกับผู้ท้าชิงที่ตอนนี้กลายเป็น ดอร์ทมุนด์ ที่เป็นรองจ่าฝูงตามหลังอยู่ 4 คะแนน, ไลป์ซิก 5 คะแนน และกลัดบัค 6 คะแนน
“เสือเหลือง” กำลังเร่งเครื่องขึ้นมาได้น่าสนใจเพราะชนะมา 4 เกมติด หลังจากได้ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาลันด์ ที่ลงเล่นในลีก 5 นัด สำรองอีก 3 แต่ซัดไปถึง 9 ลูกทำให้พวกเขากลับมามีชีวิตชีวาและมีลุ้นอีกคำรบ
ฝั่งของ ไลป์ซิก ที่ออกสตาร์ทได้น่าสนใจ กระทั่งมาสะดุดไปเองในครึ่งซีซั่นหลัง แม้จะแพ้หนเดียว แต่พวกเขาชนะได้แค่ 3 นัดเท่านั้น จาก 8 เกม ซึ่งการเสมอเยอะไม่เป็นผลดีกับระบบ 3 คะแนน กับสถานการณ์ที่คะแนนเบียดๆ กันขนาดนี้
ไลป์ซิก มีปัญหาอาการบาดเจ็บในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ที่เหลือเพียง ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เพียงคนเดียว ทำให้กระทบของแผนการเล่นของทีมไปโดยปริยาย
มีการขยับ “ฟูลแบ๊กทั้งสองฝั่ง”มาร์เซลฮัลสเตนแบร์ก กับ ลูคัส คลอสเตอร์มันน์ มายืนเป็นเซ็นเตอร์เพื่อไม่ให้หลังรั่ว และการขาด เควิน คัมเปิ้ล ทำให้ มาร์เซลซาบิเซอร์ ต้องถูกบีบมาอยู่ด้านในตามระบบใหม่ จากทีมที่เล่นระบบ 4-2-2-2 มาเป็น 3-1-4-2
ซาบิเซอร์ อาจจะดูดีขึ้น แต่ภาพรวมของทีมไม่ค่อยเวิร์ก เช่นเดียวกับคู่หัวหอก พาทริค ชิค มายืนหน้ากับ ติโม แวร์เนอร์ ยังมีปัญหาเรื่องการเล่นร่วม
ส่วน กลัดบัค ที่มีการปรับเปลี่ยนมากมายตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ที่แล้ว ทั้งนักเตะตัวรุก และผู้จัดการทีม ทำให้ทีมออกสตาร์ทช้า แต่กลับมาได้อย่างน่าสนใจ หลังจาก มาร์โก้ โรเซ่อ ปรุงแนวรุกใหม่ได้เข้ากันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง อเลสซาน เพอา, มาร์คุส ตูราม, ลาร์ส ชตินเดิ้ล รวมถึง บรีล เอ็มโบโล่
6 คะแนนที่ตามหลังอยู่นั้น ตัวเลขไม่เยอะ ทำให้ยังเผลอไม่ได้ทั้งนั้น
.....สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ความผิดพลาดในการเล่นอาจจะมีมากขึ้น จากการรวมตัวกันน้อย และเงื่อนไขของไวรัส
การเล่นเป็นทีมจะมีน้อยกว่าเดิม และการเล่นแบบตัวใครตัวมัน ใช้ความสามารถเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อโลก “นิว นอร์มอล”
เราอาจจะได้เห็นฟุตบอล “นิว สไตล์”
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี