River of No Return นับตั้งแต่แยกจากกันเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1891-92
เอฟเวอร์ตัน กับ ลิเวอร์พูล คือเส้นขนานกันตั้งแต่วันนั้น
สวนสาธารณะสแตนลี่ย์ พาร์ค ที่กั้นกลางระหว่างทั้งสองทีมต่างฝ่ายต่างต่อสู้เพื่อชิงความสำเร็จมาอยู่ในอ้อมอกของตัวเองแต่เมื่อใดก็ตามที่ถึงเวลาจะต้องช่วยเหลือกัน
จะเรียกว่า “พี่น้อง” หรือ “เพื่อนบ้าน” ทั้งสองฟากฝั่งก็ไม่เคยทิ้งกัน
สายน้ำเมอร์ซี่ย์มาบรรจบกัน ดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ อาทิ เหตุการณ์ฮิลล์สโบโร่ ที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ร่วมกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม
ฟุตบอลเป็นชีวิต ที่นี่ฟุตบอลเป็นยิ่งกว่าชีวิต บ้านเดียวกันสามารถเชียร์คนละทีมและไม่ตีกัน พร้อมกับเป็นฟุตบอลคู่เดียวในโลกที่แฟนบอลทั้งสองฝั่งนั่งรวมกันได้
ความคลาสสิกมันอยู่ตรงนี้จริงๆ
ในปีนี้ เอฟเวอร์ตัน ออกสตาร์ทได้อย่างน่าสนใจที่สุด ทำสถิติมากมาย ทั้งการเล่นในบอลลีก และบอลถ้วยรวมกัน กำชัยต่อเนื่องถึง 7 นัดติด ยังไม่มีคำว่าสะดุด
“มือปืนอิตาเลี่ยน” คาร์โล อันเชล็อตติ กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือเฮฟวี่จากเยอรมนี เกือบจะได้มาทำงานที่ลิเวอร์พูล แต่สุดท้าย คล็อปป์ ได้โอกาสก่อนเมื่อปี 2015 ส่วน คาร์เล็ตโต้ ได้มาจับงานกับทีมสีน้ำเงินเมื่อปลายปีก่อน
ไม่มีคำถามที่จะบอก “ของจริง” หรือ “ของปลอม” เพราะคนอย่าง อันเชล็อตติ ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้วเรื่องความสำเร็จ
การมายัง เอฟเวอร์ตัน ครั้งนี้ เป้าหมายของเขาไม่ได้มาเพื่อจะพิสูจน์แชมป์ แต่จะพิสูจน์กึ๋นตัวเองให้โลกประจักษ์ว่า การปลุกยักษ์หลับให้ตื่นนั้น จะต้องทำอย่างไร
หลังจากเห็นตัวอย่างของ คล็อปป์ ที่ปลุก ลิเวอร์พูล ที่สะลึมสะลือให้กลับมาตื่นตาตื่นใจ กวาดถ้วยเป็นว่าเล่นในรอบปีที่ผ่านมา
l เอฟเวอร์ตันที่ต่างออกไป
…..หลายคนเห็น เอฟเวอร์ตัน เล่นตั้งแต่เกมแรก ได้รับความรู้สึกเดียวกันว่า ไม่ใช่ “ทอฟฟี่เมน” ที่ทุกคนรู้จัก
หนักๆ ดิบๆ ดุๆ และกำปั้นทุบดิน ได้หายไป แต่มีกลิ่นอายในสไตล์ยุโรป เข้ามาอยู่ในแผนการเล่นกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ นับเฉพาะบอลลีก พวกเขาออกสตาร์ทด้วยการชนะ 4 นัดรวด นับเป็นการออกสตาร์ทได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1894 หรือเมื่อ 126 ปีที่แล้ว
เป็นทีมเดียวที่ชนะ 4 นัดรวด ในลีกจนถึงตอนนี้ และนำเป็นจ่าฝูงเดี่ยว
การเล่นในแดนกลางที่ไม่ได้สกัดตัดฟาวล์เพียงอย่างเดียว การออกบอลที่ไม่ได้เล่นมาจากแนวลึกเพียงอย่างเดียว และเมื่อมีเกมด้านข้างคัตอินไซด์จากแดนลาติน
บอลที่เคยแข็งๆ ทื่อๆ ดูมีทรง และมีประสิทธิภาพขึ้นมาในทันที
จุดนี้อยากเห็น เอฟเวอร์โตเนี่ยน ในสนามเหลือเกิน ว่าพวกเขาจะบ้าคลั่งขนาดไหน
ขออนุญาตใช้คำนี้ เพราะเรื่องบอลของพวกเขาไม่ได้หย่อนกว่าใครเลย
จำภาพได้ชัดเจนตอนนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 1989 สจ๊วร์ต แม็คคอลล์ ลงสำรองมายิงตีเสมอให้ทีมได้ถึงสองครั้งสองครา ปรากฏว่า แฟนบอลทะยานลงมาฉลองชัยในเวมบลีย์แบบไม่สนอีร้าค่าอีรม
หรือจะเป็นแมทช์สุดท้ายของฤดูกาล 1993-94 ที่พวกเขาอยู่รอดในวันสุดท้ายของซีซั่น แฟนบอลลงมาระเบิดอารมณ์กันเต็มสนาม ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะตกชั้นทั้งที่เพิ่งได้แชมป์ลีกก่อนหน้านั้นเพียง 7 ปี
“ทอฟฟี่เมน” ผ่านอะไรมาเยอะมาก นับตั้งแต่ได้แชมป์ลีกสูงสุด ครั้งล่าสุด เมื่อปี 1987 และเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 1995 โทรฟี่ท้ายสุดจนถึงวันนี้ 25 ปีเข้าให้แล้ว
การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกุนซือบ่อยครั้ง ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์กลับมาช่วยทีมอีก 2 รอบ ก็ไม่เป็นผล หรือจะเป็น “ไวท์ เปเล่” โคลินฮาววี่ย์ ลูกหม้อของทีม และศิษย์เอกของ เคนดัลล์ ก็ไม่ถึง จากนั้นไล่เลียงมาเป็น ไมค์ วอล์คเกอร์, โจ รอยล์, วอลเตอร์ สมิธ กระทั่งในยุคยาวๆ ของ เดวิด มอยส์ 11 ปีที่ทีมดูเหมือนพัฒนาขึ้นมาแต่ยังมือเปล่า
เดวิด มอยส์ เลือกไปทำงานที่แมนฯยูไนเต็ด ก่อนจะเสียผู้เสียคนในอีก 10 เดือน ให้หลัง ฝั่ง เอฟเวอร์ตัน ก็ยังคลำหากุนซือใหม่ๆ เข้ามาทำงาน
โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ, โรนัลด์ คูมัน, แซม อัลลาไดซ์ และมาร์โก้ ซิลวา แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
เมื่อมี อันเชล็อตติ เข้ามาทำงาน และออกสตาร์ทแบบนี้ เป็นใครก็หัวใจชุ่มชื่น
น่าสนใจก็คือ อันเช่ จะได้พิสูจน์ฝีมือกับการออกสตาร์ทแบบนี้ว่านี่ไม่ใช่เป็นแค่ช่วงเวลา “ฮันนีมูน”
l ลิเวอร์พูลผู้เปลี่ยนสถานะ
เอฟเวอร์ตัน ยังคงนับเลขต่อไปกับการเป็นแชมป์ลีก แต่ ลิเวอร์พูล หยุดเอาไว้ได้สำเร็จที่เลข 30
ความสำเร็จบนลีกสูงสุด โบยบินผ่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ไปมา และทำท่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อจบซีซั่น 2018-19 ที่ได้ 97 แต้มแล้วยัง “ไม่ได้แชมป์”......บ้าบอคอโป่งมากๆ
สุดท้ายการไลล่าความสำเร็จ ยังคงดำเนินต่อไป โดยได้ถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เยียวยารักษาทุกบาดแผล ทำให้ เจอร์เก้นคล็อปป์ นำทัพเข้าป้ายแชมป์ ด้วยการออกสตาร์ทที่บ้าคลั่งที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งยุโรป
มีที่ไหนเตะ 27 ชนะ 26 ......ก็มีที่นี่แหละ!!!!
ก่อนที่จะเป็นแชมป์ที่รอคอยได้เมื่อจบนัดที่ 31 ด้วยจำนวนนัดที่เร็วที่สุด แต่เพราะโควิดที่หยุดทุกอย่างทำให้การเป็นแชมป์ของ ลิเวอร์พูล ต้องใช้เวลานานที่สุดของฤดูกาลไปซะฉิบ!!!!
ไม่มีใครจะออกสตาร์ทได้หรูหราขนาดนี้อีก เพราะจากสถานะเดิมคือ “ผู้ล่า” แต่นาทีนี้ “หงส์แดง” กลายเป็น “ผู้ถูกล่า” ไปแล้ว
จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ แพ้เละ, ดวงแตก, ตรงเป็นเข้า ในเกมพ่ายให้กับ แอสตัน วิลล่า 2-7 ไม่มีสิทธิ์จะเถียงในความพ่ายแพ้ครั้งนี้และสำคัญก็คือ ยกเครดิตให้ ดีน สมิธ และชาวคณะ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังแสดงให้เห็นตลอดเกม
นั่นก็คือ แผนการเล่นที่ชัดเจนของ คล็อปป์
วิเคราะห์กันแล้วว่า การพ่ายแพ้เป็นเรื่องของผลการแข่งขัน จริงอยู่ที่มันไม่สมควรที่จะเละขนาดนี้ แต่อย่างที่ คล็อปป์ พูดก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดพลาด ไม่ควรอยู่ในเกมๆ เดียว แล้วมันก็เกิดขึ้นในเกมกับ วิลล่า
การเตะแต่ละนัด ลำบากกว่าทุกครั้ง ไม่ว่าจะเหย้าหรือว่าเยือน เนื่องจากการเป็นแชมป์เก่า ศักดิ์ศรีมันง้ำค้ำคอ และใครก็อยากจะสอยลงมา
ไม่แปลกที่ คล็อปป์ จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องเปลี่ยนวิธีการเล่น แม้ฟอร์เมชั่นแรกจะเหมือนเดิม แต่ในรายละเอียดแตกต่างกันออกไป
การยืนสูงดันทั้งแผง หรือ “ไฮจ์ไลน์” ที่ถูกวิจารณ์หนักมาก ต้องไม่ลืมว่า ลิเวอร์พูล ใช้ระบบนี้แล้วชนะมาก่อนหน้านี้ทุกนัด
เพียงแต่ คล็อปป์ ต้องพึงระวังแล้วว่า พื้นที่ในการเล่น จะแบ่งเส้นรุ้งเส้นแวงกันยังไง
การไม่มี อลิสซอน เบ๊คเกอร์ ทำให้พื้นที่แดนหลังระหว่างเซ็นเตอร์แบ๊ก กับ นายประตู มันใหญ่มากๆ ไม่ว่าจะใช้ อาเดรียนหรือ ควีวีน เคลเลเฮอร์ ก็คงไม่ต่าง เพราะสไตล์นี้สร้างมาเพื่อโกล์อย่าง อลิสซอน
หมากนี้จะแก้ได้ถ้า ซาดิโอ มาเน่ กลับมาไล่ล่าทางด้านซ้าย และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน มาวิ่งเป็นเส้นตรงทางด้านขวา ทั้งเปิดพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีม และปิดพื้นที่แนวลึกของทีมตัวเอง
บางที สถานะเปลี่ยน แผนการเล่นอาจไม่ต้องเปลี่ยนทั้งหมดก็ได้.......
l ระบบ 4-3-3 ความเหมือนที่แตกต่าง
เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้พิสมัยการเล่นแบบ 4-2-3-1 มาก่อน หรือ คาร์โล อันเชล็อตติ จะชอบเหลือเกินกับการเล่นแบบไดมอนด์มาแต่ไหนแต่ไร
ทั้งสองคนคืออัจฉริยะ ที่จะปรับปรุงระบบใหม่ขึ้นมาเพื่อเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน กับตัวผู้เล่นที่มี และที่ปรับหมากวางรากกันไว้
เป็นความบังเอิญแบบพอดีที่ทั้งสองฝั่งจะชนกันแบบ 4-3-3
ระบบเหมือนกัน แต่ความต่างยังคงชัดเจน
ว่ากันถึงการยืนของ คล็อปป์ ที่ลงตัวกับระบบมิดฟิลด์ที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ใช้แรงงานสูงในการเล่นสองคนที่ยืนด้านบน และมีหลักหนึ่งคนสำหรับการออกบอลสวิตช์ไปมา แต่ทั้งหมดจะยืนไม่ห่างกัน
แนวรุกสามคนเล่นไม่เหมือนทีมอื่น นั่นก็คือแทบจะไม่มี“ตัวเป้า” ไปยืนค้ำไปยันกับกองหลังฝั่งตรงกันข้าม แต่เลือกที่จะให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ถอนตัวลงมาลึก แล้วให้ ซาดิโอ มาเน่ วิ่งสายไปมา จากซ้ายไปไหนก็ได้
เลือกให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่อยู่ขวา เล่นตัดใน แล้วขยับมายืนตัวเป้า
อิสระในการวิ่งของสองฟูลแบ๊กคืออาวุธเด็ดของทีม พร้อมกับการเปิดยาวข้ามแดนของ เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค
ตรงข้ามกับ เอฟเวอร์ตัน นักเตะทั้งหมดในระบบนี้ ถูกจัดวางที่ยืนห่างกัน แม้จะในลักษณะเดียวกันกับ ลิเวอร์พูล
อัลลัน ยืนปักตรงกลาง แทบจะติดชิดกับคู่เซ็นเตอร์ โดยให้ อับดุลลาย ดูกูเร่ เป็นตัวไล่ด้านซ้าย ส่วน อันเดร โกเมส ถูกขยับออกมายืนทางซ้ายจากตำแหน่งเดิมหลายก้าว
ส่วนในเกมรุก ริชาร์ลิซอน ถูกถ่างมาซ้ายสุดๆ แต่ทางขวานั้นฮาเมส โรดริเกวซ ขยับออกมาจากเส้น ยืนแนวดิ่งที่ตรงเป๊ะกับดูกูเร่
หน้าเป้า โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน ถูกสั่งให้ทิ่มไว้ตรงกลางปักระหว่างช่องว่างของคู่กองหลังฝั่งตรงกันข้าม
ระบบนี้ ลิเวอร์พูล ใช้มาจะจะ 2 ปีเต็ม ตอนนี้เล่นด้วยระบบนำและความสามารถเฉพาะตัวตามหลัง
ระบบนี้ เอฟเวอร์ตัน เพิ่งจะใช้ ตอนนี้เล่นด้วยความสามารถเฉพาะตัวนำ และระบบตามหลัง
นี่คือความต่างที่น่าสนใจ และยิ่งน่าดูยิ่งกว่าก็คือ การที่ไม่เคยมีหนไหนที่เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมทช์ ทางฝั่ง “สีน้ำเงิน” จะเล่นแบบสไตล์ยุโรป
เมื่อเจอกับ ลิเวอร์พูล ในยุคบุกทำลายแบบล้างบาง ทำให้เกมนี้น่าสนใจอย่างมาก
ถอยหลังไม่ได้ เล่นเกมรับไม่เป็น
น่าจะเป็นเกมพี่น้องรักใคร่ หรือเพื่อนบ้านตัวแสบ ที่ดีที่สุดในรอบหลายปีก็เป็นได้
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี